พีแอนด์จี อัดงบ 250 ล้านบาท ลั่นกลองรบ2ธุรกิจใหม่ผงซักฟอก-ยิลเลตต์เดือนกรกฎาคม ปูพรมปั้น แฟ้บ-เพค ลงสมรภูมิผงซักฟอกมูลค่ากว่า 1หมื่นล้าน ชูนวัตกรรมถล่มบรีส ยันการเมืองไม่กระทบแผนลงทุน 3 ปี 3,500 ล้านบาท ล่าสุดอัดฉีดเม็ดเงิน 1,600 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงาน-งบตลาดรวม สิ้นปีผลประกอบการโตสวนกระแสเป็นตัวเลขสองหลัก ส่วนธุรกิจใหม่ปีแรกกวาดรายได้ 25% จากรายได้รวม
นางสาวปริญดา หัศฎางค์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีแอนด์จี ประเทศไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทเข้าไปซื้อตราสินค้าผลิตภัณฑ์ซัก-ถนอมผ้า 4 แบรนด์ จากคอลเกต-ปาล์มโอลีฟ ประกอบด้วย แฟ้บ เพค โทรจัน ไดนาโม เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2548 ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และควบรวมกิจการทั่วโลกระหว่างพีแอนด์จีกับยิลเลตต์ ประกอบด้วย 4 แบรนด์ ได้แก่ ยิลเลตต์ ออรัล-บี ดูราเซลล์ และบราว์น ส่งผลให้พีแอนด์จีมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยในพอร์ต โฟลิโอมีตราสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 13 แบรนด์ เป็น 19 แบรนด์
โดยนโยบายกลุ่มผลิตภัณฑ์ซัก-ถนอมผ้า และภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ยิลเลตต์ จะเริ่มดำเนินการตลาดในเชิงรุกในเดือนกรกฎาคมนี้ ใช้งบการตลาด 25% จากงบการตลาดโดยรวม 500-1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 125-250 ล้านบาท โดยในกลุ่มซักและถนอมผ้าจะเน้นสินค้าเรือธง 2 แบรนด์หลัก ได้แก่ แฟ้บ และเพค บริษัทจะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ทำตลาด หลังจากตกอยู่ภายใต้คอลเกตฯสินค้าทั้งสองแบรนด์ไม่ได้มีการทำตลาดหรือนวัตกรรมใหม่ๆมากนัก ส่งผลให้ปัจจุบันแฟ้บมีส่วนแบ่ง 7% และเพค 1% จากมูลค่าตลาดผงซักฟอก 11,300 ล้านบาท
“ปัจจุบันนี้เรามีโรงงานผลิตผงซักฟอกภายใต้แบรนด์ไทด์ 3 แห่ง คือ เวียดนาม อินเดีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งขณะนี้ผงซักฟอกแฟ้บและเพคได้จ้างบริษัทคอลเกต-ปาล์มโอลีฟเป็นผู้ผลิต ส่วนแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตผงซักฟอกไทยหรือไม่ คงจะต้องพิจารณาถึงรายละเอียดกันอีกครั้ง”
ส่วนกลุ่มยิลเลตต์ ซึ่งที่ผ่านมามีความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมและการทำตลาดอยู่แล้ว ส่งผลให้ปีที่ผ่านมากลุ่มผลิตภัณฑ์ใบและมีดโกนหนวด รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ในช่องปากภายใต้แบรนด์ออรัล-บีเพิ่มขึ้นในอัตราเกือบ 20% ขณะที่ยอดขายของยิลเลตต์ ประเทศไทย เพิ่มขึ้น 7% โดยปีนี้บริษัทเน้นออกนวัตกรรมสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้เตรียมปรับโครงสร้างองค์กร เพิ่มบุคลากร รวมทั้งกำลังพิจารณาเพิ่มศูนย์จัดจำหน่าย(SDO)จากปัจจุบันมี 7 แห่ง แบ่งเป็น กทม. 1 แห่ง ต่างจังหวัด 6 แห่ง เพื่อรับธุรกิจใหม่ 2 ขาที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้ของกลุ่มซัก-ถนอมผ้า และยิลเลตต์คิดเป็น 25% ของรายได้รวม
**พิษการเมืองไม่กระทบลงทุน3.5พันล.**
แนวโน้มตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคปีนี้มีอัตราการเติบโต 5% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยสถานการณ์การเมืองประเทศไทยที่คลุมเครือในขณะนี้ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดอุปโภคบริโภค ในไตรมาสแรกของปีนี้ภาวะตลาดยังมีอัตราการเติบโตคงที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดังนั้นบริษัทยังคงดำเนินแผนการลงทุน 3 ปี (2548-2550)อย่างต่อเนื่องประมาณ 3,500 ล้านบาท โดยปีนี้ใช้งบลงทุน 600 ล้านบาท ในการปรับปรุงด้านโรงงาน ซื้อเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ซื้อคอมพิวเตอร์พกพา 200 เครื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการกระจายสินค้าและการขาย
“ปีนี้การแข่งขันตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค การทำโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถมมีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภค ส่วนด้านการชุมนุมในย่านใจกลางเมืองคาดว่ายอดขายสินค้าอาจจะได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนักในช่วง 1-2 วันนี้”
**ชู 3กลยุทธ์ดันรายได้โตสองหลัก**
นางสาวปริญดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินธุรกิจต่อไปข้างหน้าพีแอนด์จีจะเน้น 3 กลยุทธ์ ประกอบด้วย ประการแรก การเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคไทยด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ประการที่สอง มอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค ด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพ ภายใต้การใช้กลยุทธ์ราคาโดยเฉพาะกลุ่มแชมพู และประการสุดท้าย การดึงดูดบุคลากรที่มีคุณสมบัติเข้าสู่องค์กร
นอกจากบริษัทจะเน้น 2 ธุรกิจใหม่ ในปีนี้ยังคงทำตลาดในเชิงรุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นผม –กลุ่มผลิตภัณฑ์ถนอมผิว โดยเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมากลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผม มีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 28.8% เป็น 31% จากมูลค่าตลาด 9,800 ล้านบาท แบ่งเป็น แพนทีนเพิ่มจาก 12%เป็น 12.1% รีจอยส์ จาก8.5% เป็น 9% เฮดแอนด์โชว์เดอร์ 8.3% เป็น 8.4% แคล์รอล เฮอร์บัลจาก 1.5% เป็น 1.7%
ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ถนอมผิวหน้ามีส่วนแบ่ง 34% จากมูลค่า 5,400 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโต 20% ส่วนรายได้จากการส่งออกเพิ่มมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท จากการส่งออกกว่า 20 ประเทศ
|