"พิเชษฐ" ชำแหละคลังถังแตกรอบใหม่ เกิดจากรัฐบาลทักษิณขาดวินัย ใช้เงินล่วงหน้าทำประชานิยม ล้วงงบแปรรูปรสก. จับตากรณี กฟผ. รัฐอาจถ่วงเวลาคืนเงินค่าหุ้นพนักงาน ขณะที่เลือกตั้งต้องใช้งบ 2-3 พันล้านยังลูกผีลูกคน ตีกันรัฐบาลไม่ควรออกตั๋วเงินคงคลังเพิ่มเพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ นักวิชาการแนะต้องเหลือเงินคงคลังเพื่อใช้ 3 เดือน ไม่ใช่ 14 วัน
จากกรณีกระทรวงการคลังกำลังประสบปัญหาเงินคงคลังอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จนล่าสุดเหลือเงินคงคลังใช้อีกแค่ 14 วันอีกครั้งนั้น วานนี้ (27 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมช.คลัง เปิดแถลงว่า สาเหตุของวิกฤตเงินคงคลังที่รัฐบาลกำลังเผชิญอีกครั้ง เกิดจากนโยบายของรัฐบาลที่มีการคงเงินคงคลังไว้ในอัตราต่ำมาก นโยบายการใช้เงินคงคลังล่วงหน้าในนโยบายประชานิยม นอกจากนี้มีปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลต้องเผชิญอีกคือการจัดการเลือกตั้งที่ต้องใช้งบประมาณมากกว่า 2,000 ล้านบาทและหากการเลือกตั้งต้องยืดเยื้องบฯที่ใช้อาจมากกว่า 3,000 ล้านบาท
นายพิเชษฐกล่าวว่า ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีการนำงบฯจากการขายรัฐวิสาหกิจมาใช้ล่วงหน้าไปหมดแล้ว รวมทั้งกรณีการแปรรูป กฝผ.ที่รัฐบาลต้องนำเงินมาคืนค่าหุ้นให้พนักงานนั้น น่าเป็นห่วงว่าจะมีการถ่วงเวลาคืนค่าหุ้นให้กับพนักงานกฝผ.ออกไปอีก ซึ่งเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนเดือนธันวาคมไม่ได้เกิดเพราะม็อบพันธมิตร เพราะรัฐบาลสร้างวิกฤติแก่ตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงปัญหางบประจำที่กำลังวิกฤติ แต่กลับไปขึ้นเงินเดือนครู ขึ้นค่าตอบแทนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แล้วไม่รู้ว่าจะเอาที่ไหนไปจ่าย รัฐบาลได้เตรียมหลายโครงการเพราะคิดว่าจะได้เงินจากการแปรรูป กฝผ. ถึง 60,000 ล้านบาท แล้ววันนี้จะแก้ไขปัญหาอย่างไรจากเงินดังกล่าวที่หายไป รัฐบาลต้องแถลงให้ประชาชนทราบปัญหาวิกฤตินี้อย่างโปร่งใส ซึ่งจะส่งผลต่อต่างประเทศที่มองว่าประเทศไทยไม่รักษาวินัยการคลังและงบประมาณ ซึ่งความมั่นใจของต่างชาติต่อประเทศไทยจะหายไปหากเขารู้ความจริง
"ผลกระทบที่จะตามมา จะมีวิกฤติหลายเรื่อง เช่น งบประมาณก่อสร้างที่ค้างจ่ายทั่วประเทศ โดยขณะนี้ในส่วนของการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิหรือหนองงูเห่ามีการค้างจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาทั้งที่ถึงกำหนดจ่ายเงินแล้วหลายหมื่นล้านบาท รวมทั้งงบก่อสร้างที่เป็นงบลงทุนรายเล็กทั่วประเทศ ทั้งกรมทางหลวง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้รับเหมาส่งงานไป 6 เดือนแต่ยังไม่ได้รับเงิน ยังมีปัญหาในวงการราชการ โดยข้าราชการที่ขอเออลี่รีไทร์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 ขณะนี้ยังไม่ได้รับเงินจำนวนมาก และยังมีกลุ่มข้าราชการบำนาญในบางหน่วยงานที่ร้องทุกข์ว่ามีข้อขัดข้องในการรับเงิน ดังนั้นจำนวนเงินคงคลังที่เหลือน้อยจะสร้างผลกระทบต่อทุกวงการจะนำมาสู่วิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง และยากต่อการแก้ไข ซึ่งเกิดจากการขาดวินัยการเงินการคลังของรัฐบาล"
***ตีกันรบ.รักษาการออกตั๋วคงคลัง
นายพิเชษฐกล่าวว่า แม้รัฐบาลจะแก้ไขด้วยการขยายเงินตั๋วคงคลังจาก 80,000 ล้านบาทเป็น 160,000 ล้านบาทเพื่อให้เพียงพอนั้นก็จะเกิดปัญหาคือ 1.การเป็นครม.รักษาการจะสามารถอนุมัติเงินกู้ก้อนนี้ได้หรือไม่ 2.แม้รัฐบาลจะหาทางอนุมัติได้ แต่ในขณะนี้อยู่ในช่วงอัตราดอกเบี้ยสูง ภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้จะเอาตั๋วเงินคงคลังที่ออกมาขายให้กับใคร ทางออกหนึ่งคือ รัฐบาลน่าจะชะลอเงินที่จะส่งให้กับกองทุนประกันสังคมไว้ได้ เพราะกองทุนประกันสังคมมีเงิน 300,000 กว่าล้านบาท แต่นำเงินไปเล่นหุ้น ซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ และยังไปซื้อหุ้นเพื่อไปพยุงหุ้นในแต่ละตัวตามคำสั่งของผู้มีอำนาจในรัฐบาล รวมทั้งรัฐบาลต้องเลิกนโยบายประชานิยมทั้งหมดไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาวิกฤติในการจัดทำงบประมาณในปี 2550 เพราะจะยิ่งเป็นการสร้างตัวเลขหลอกประชาชน
**ชี้ต้องสำรองอย่างน้อย3เดือน
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่แสดงความกังวลภาวะคงเงินคงคลังของประเทศไทยที่มีข่าวว่า เหลือเพียง 40,000 ล้านบาท หรือ ดำเนินการได้อีก 14 วัน โดยเห็นว่า เรื่องนี้ไม่น่ามีปัญหาน่าเป็นห่วง เพราะรัฐบาลได้ใช้ตั๋วเงินคงคลัง ซึ่งไม่กระทบกับการเบิกจ่ายของส่วนราชการแน่นอน ปรากฏว่านายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า เป็นห่วงเงินคงคลังของประเทศไทยที่มีเพียง 40,000 ล้านบาท หรือ ดำเนินการได้อีก 14 วัน อย่างมาก โดยส่วนหนึ่งคงมาจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจส่งเงินช้า หน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจจ่ายเงินเกินความจำเป็น ดังนั้นอยากให้ภาครัฐชะลอการเบิกจ่ายงบประมาณแก่โครงการที่ไม่เร่งด่วนก่อน รวมถึงกระทรวงการคลังต้องเตรียมแผนรองรับกับปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉุกเฉินล่วงหน้าด้วย เช่น เลือกตั้งใหม่ หรือ เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับ กฟผ. เป็นต้น
นอกจากนี้กระทรวงการคลังควรบริหารเงินคงคลังให้มีเพียงพอดำเนินการอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่คนในประเทศ รวมถึงรักษามาตรฐานการเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพด้วย เช่น ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอาชีพอย่างเป็นธรรม เพื่อให้มีรายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
“เป็นห่วงเรื่องนี้อย่างมากจึงอยากให้รัฐบาลชะลอการเบิกจ่ายแก่โครงการที่ไม่จำเป็นก่อน ส่วนที่จำเป็นก็ต้องให้เป็นตามปกติเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้ต่อเนื่อง ขณะที่ในปี 49 นโยบายการเร่งรัดเบิกจ่ายให้เร็วขึ้นก็มีส่วนทำให้เงินคงคลังลดลงเร็ว เพราะบางส่วนมีการเบิกจ่ายที่ผิดจังหวะ หรือมาเน้นช่วงใดช่วงหนึ่งเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องมีแผนไว้รองรับกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงด้วย”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเงินคงคลังที่มีน้อยคงไม่กระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจนัก เพราะเชื่อว่าสิ้นเดือน มี.ค. นี้รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มอีกมากจากภาษีนิติบุคคล ขณะที่เดือน เม.ย. และ พ.ค. ก็จะมีรายได้ทางท่องเที่ยวด้วย
ส่วนนายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า จะกังวลหรือไม่นั้นต้องดูในส่วนของ กฟผ.ว่ามีการขอยืมเงินรัฐบาล เป็นการชั่วคราวแล้วใช้คืนเมื่อมีเงินเพียงพอหรือว่ารัฐบาลจะต้องดำเนินการจ่ายให้ทั้งหมด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทาง กฟผ.ควรจะต้องออกเอง อย่างไรก็ตามต้องติดตามรายละเอียดอีกครั้ง
|