"แอสคอนฯ" เล็งเทกโอเวอร์ 2 บริษัทก่อสร้างจดทะเบียนชั้น1 ของงานภาครัฐฯ หวังเพิ่มศักยภาพเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่กรมทางหลวง-กทม. เผย3 แนวทางประมูลบิ๊กเมกะโปรเจกต์ "ร่วมทุน - ประมูลงานเอง-รับช่วงงานก่อสร้าง" ตั้งเป้ารายได้ปี49 เติบโต50% เพิ่มสต็อกงาน 3,000 ล้านบาท รักษาระดับการขยายตัว แจงสัดส่วนรายได้ปีนี้งานเอกชนสูงโด่ง 85% พร้อมเจรจาจอยท์เวนเจอร์บริษัทต่างประเทศร่วมประมูลรถไฟฟ้าของรัฐบาล
นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะซื้อใบอนุญาติ(ไลน์เซนต์)บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจดทะเบียนชั้นหนึ่งในการรับเหมาก่อสร้างโครงการของภาครัฐฯ ทั้งในส่วนของกรุงเทพมหานครและกรมทางหลวง เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับงานก่อสร้างของหน่วยงานรัฐบาล โดยในช่วงที่ผ่านมา รายได้หลักของบริษัทมาจากการรับงานเฉพาะในส่วนของภาคเอกชนทั้ง 100% เนื่องจากในการเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ บริษัทยังมีข้อจำกัดในเรื่องคุณสมบัติการผ่านงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ และระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ ทำให้ขาดคุณสมบัติในการพิจารณาร่วมประมูลงานขนาดใหญ่ของหน่วยงานราชการ
โดยขณะนี้ บริษัทอยู่ในช่วงการเจรจาซื้อใบอนุญาติบริษัทก่อสร้างอยู่ 2-3 บริษัท คาดว่าจะเข้าซื้อกิจการเพียง 2 บาทจากที่เจรจาอยู่ 3 บริษัท โดยอยู่ระหว่างเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินของบริษัทเหล่านี้ คาดว่าจะสามารถรู้ผลชัดเจนภายในเดือน2เดือนข้างหน้า ใช้งบในการเข้าไปซื้อกิจการประมาณ 10-20 ล้านบาทต่อราย ซึ่งหากสามารถเข้าไปซื้อกิจการได้แล้ว จะมีการปรับโครงสร้างการบริหารและการเพิ่มทุนใหม่เข้าไป เพื่อให้เข้าเกณฑ์และข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับแผนธุรกิจในปี 49 ตั้งเป้าว่าจะรักษาระดับอัตราการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 50% หรือมีรายได้ทั้งปีอยู่ที่ 1,200-1,500 ล้านบาท จากเดิมในปี2548 บริษัทรายได้รวม 825 ล้านบาท จากมูลค่างานในมือรวม 2,000 ล้านบาท ซึ่งการจะมีรายได้ตามเป้าที่วางไว้ได้นั้น บริษัทจะต้องมีงานในมือต่อปีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มงานในมือ ทางบริษัทต้องเข้าประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลในอนาคตและรวมถึงงานในต่างประเทศ
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีสัดส่วนรายได้มา 3 ส่วน ประกอบด้วย งานก่อสร้างโครงการภาครัฐฯ 15% โครงการก่อสร้างภาคเอกชน 85% แบ่งออกเป็น งานก่อสร้างอาคารสูง 70% และงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม 30% อย่างไรก็ตาม นโยบายและแนวทางในการรับงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐบาลและเอกชนที่ต้องใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างสูงๆ หรือมีมูลค่าโครงการสูงๆ ซึ่งส่วนนี้บริษัทยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานประมูลได้นั้น บริษัทจะใช้วิธีร่วมทุนกับบริษัทพันธมิตร เพื่อเข้าร่วมงานประมูลโครงการที่มีมูลค่าสูงๆ ส่วนโครงการใดที่บริษัทมีศักยภาพสามารถร่วมประมูลได้จะดำเนินการเข้าประมูลงานเอง สำหรับวิธีการเข้าไปรับช่วงงานก่อสร้างต่อทางบริษัทจะพิจารณาใช้เป็นวิธีสุดท้าย
นายพัฒนพงษ์ กล่าวว่า สำหรับนโยบายในการบริหารงานเพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้บริษัทที่ตั้งเป้าไว้นั้น จะเน้นใน 3 เรื่องหลักๆ ประกอบด้วย 1.การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโตของมูลค่างานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต 2.เงินทุนซึ่งหลังจากที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้มีเงินทุนเพิ่มขึ้น เพื่อสามารถรองรับการขยายตัวของงานในอนาคต ซึ่งหากต้องการระดมทุนเพิ่มก็สามารถทำได้ และ 3.การร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งขณะนี้บริษัทมีกลุ่มตระกูลวิไลลักษณ์ (เจ้าของบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ) ซึ่งถือเป็นกลุ่มทุนที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในธุรกิจและเครือข่ายด้านไอที สามารถช่วยขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับภาพรวมการก่อสร้างนั้น ในส่วนของโครงการภาครัฐฯ นั้น ยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์ ) ซึ่งมูลค่างานก่อสร้างกว่า 4 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 5-10% ส่วนงานก่อสร้างในภาคเอกชนก็เช่นกัน อัตราการก่อสร้างโครงการอาคารสูงยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยแผนในการร่วมประมูลงานโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลนั้นขณะนี้ บริษัทยังอยู่ในขั้นเจรจาร่วมกับบริษัทต่างชาติ อาทิ ประเทศเยอรมนี, แคนาดา ,มาเลเซีย เพื่อมาร่วมประมูลโครงการของรัฐในเส้นทางที่คู่แข่งให้ความสนใจไม่มาก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีงานในมืออยู่ 2,000 กว่าล้านบาท โดยเป็นงานก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมของ บริษัท ณุศาศิริ กรุ๊ป จำกัด ,งานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่จังหวัดลพบุรี นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับงานก่อสร้างอาคารชุดอีก 4 โครงการ มูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีงานในมือตามแผนที่วางไว้ ส่วนงานโครงการอาคารสูงที่บริษัทได้มีการยื่นประมูลแล้ว มีอยู่หลายโครงการโดยมีมูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเตรียมที่จะเซ็นสัญญางานสัมปทานในการปรับปรุงถนนในประเทศกัมพูชา ในเดือนเม.ย.นี้ อายุสัญญา 30 ปี และงานการก่อสร้างสาธารณูปโภคในโครงการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งบริษัทจะร่วมกับกลุ่มบริษัทสามารถฯเข้าร่วมงานประมูลการติดตั้งระบบ
|