|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เอกชนวงการท่องเที่ยวเวียดนามระบุ สถานการณ์ท่องเที่ยว โตเร็วก้าวกระโดด ปีที่แล้วพุ่ง 20% เตือนไทยอย่าประมาท เผยรัฐบาลเวียดนามให้การสนับสนุนเต็มที่ ชู “ฮาลองเบ” เมืองมรดกโลก และ การเดินทางเพื่อติดตามศึกษาร่องรอยของสงครามเวียดนาม เผยนักท่องเที่ยวชาวยุโรปเป็นตลาดหลัก ระบุ โรงแรมที่พักและเที่ยวบินยังขาดแคลน และต้องการขยายอีกจำนวนมาก อัตราเข้าพักเฉลี่ย 90%
นายนนท์ กลินทะ ผู้จัดการทั่วไป ประจำประเทศเวียดนาม บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศเวียดนามมีนักธุรกิจ นักลงทุนและนักท่องเที่ยว เดินทางเข้ามาต่อปีจำนวนมาก โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จำนวนต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเติบโตเร็วมาก คือจาก 1 ล้านคน เมื่อประมาณปี 2546 ล่าสุดในปี 2548 มีจำนวนเพิ่มเป็นกว่า 2 ล้านคน เติบโตจากปีก่อนหน้าราว 20% ซึ่งมีไม่กี่สายการบินจากหลายประเทศที่มีเที่ยวบินตรงเข้าเวียดนาม
ดังนั้นส่วนหนึ่งจึงใช้ประเทศไทยเป็นฮับของการเดินทางเข้ามา โดยในส่วนของการบินไทย ขณะนี้มีเที่ยวบิน กรุงเทพ- โฮจิมินห์ 15 เที่ยวต่อสัปดาห์ และกรุงเทพ-ฮานอย อีก 14 เที่ยวต่อสัปดาห์ โดยมีอัตราผู้โดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยวประมาณ 75%
ทั้งนี้ผู้โดยสารส่วนใหญ่หรือประมาณ 70% เป็นชาวยุโรป ซึ่งเสน่ห์ของเวียดนาม คือความสดใหม่ของแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนเป็นประเทศที่สามารถเข้ามาศึกษาค้นคว้าหรือตามรอยกลิ่นไอของสงคราม เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่มีสงครามยาวนานกับหลายประเทศ ทั้ง จีน อเมริกา และฝรั่งเศส ซึ่งรัฐบาลเวียดนามพยายามโปรโมตขึ้นเป็นจุดขาย นอกจากนั้นยังนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวหาดทรายชายทะเลที่สวยงามในเมืองดานัง และเว้ การโปรโมตเมืองฮาลองเบ ที่ได้รับเลือกเป็นมรดกโลก
“ผมมองว่า เวียดนามดูน่าจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญของประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยว รัฐบาลเขาให้การส่งเสริมมาก ประกอบกับเวียดนามเพิ่งเปิดประเทศ จึงทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในเอเชีย ซึ่งสามารถจับตลาดคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะชาวยุโรป ที่ชอบเดินทางเพื่อหาประสบการณ์” นายนนท์ กล่าว
ชี้โรงแรม 5 ดาวขาดแคลน
ทางด้านนายสตีเฟน โอ’ เกรดี้ ( Stephen O’Grady) ผู้จัดการทั่วไป โรงแรม คาราเวล (CARAVELLE HOTEL) ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว กลางเมือง โฮจิมินห์ กล่าวว่า การเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยว ทำให้ปัจจุบันจำนวนโรงแรมที่มีอยู่ในเวียดนามบางช่วงไม่ไม่เพียงพอให้บริการ โดยปัจจุบัน เฉพาะที่โฮจิมินห์ มีโรงแรมที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าพักได้อยู่ประมาณ 4,000 ห้อง ในที่นี้มีโรงแรมระดับ 5 ดาวเพียงไม่กี่แห่ง ในที่นี้แบ่งเป็น อินเตอร์เชน เช่น เชอราตัน คาราเวล และไฮแอท และโลคัลเชน เช่น เร็กซ์ โดยราคาห้องพักของโรงแรม 5 ดาวจะเฉลี่ยที่ 100-150 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,000-6,000 บาทต่อคืน นับว่าแพงกว่าราคาโรงแรมเกรดเดียวกันในประเทศไทย เพราะดีมานด์มากกว่าซัปพลาย
“ปัจจุบันโรงแรมในโฮจิมินห์ อัตราเข้าพักเฉลี่ย 80-90% ตลอดทั้งปี และถ้าเป็นเมืองท่องเที่ยวในเวียดนามก็จะมีอัตราเข้าพักประมาณเดียวกัน และในอีก 2 ปีจากนี้ไป ยังไม่มีโรงแรมเกิดใหม่ เพราะรัฐบาลอยู่ระหว่างเคลียร์พื้นที่ และเปิดรับนักลงทุน”
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ยังเป็นอุปสรรคด้านการท่องเที่ยวคือ การมีเที่ยวบินไม่เพียงพอกับความต้องการ แต่ทราบว่ามีหลายสายการบิน ที่เตรียมเปิดเส้นทางใหม่เข้ามาในเวียดนามปีนี้ โดยจากประเทศไทยก็มี บางกอกแอร์เวย์ นอกนั้นยังมีสายการบินไชน่าเซาท์เทิร์น จากจีน
ระบุเวียดนามเป็นเมืองน่าลงทุน
นายเกรดี้ กล่าวอีกว่า รัฐบาลเวียดนาม เปิดกว้างให้กับผู้สนใจเข้ามาลงทุนในทุกธุรกิจ ประเทศที่เข้ามาลงทุน ได้แก่ ฮ่องกง ไต้หวัน และไทย ซึ่งนครโฮจิมินห์ เป็นทั้งเมืองท่องเที่ยวและเมืองธุรกิจ จึงมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ปัจจุบันเวียดนามเปิดประเทศมาประมาณ 15 ปี แต่พบว่าเขาพัฒนาเร็วมาก โดยขณะนี้เขาตามประเทศไทยอยู่เพียง 10 ปี หากประเทศไทยยังย่ำอยู่กับที่ และไม่มีอะไรเป็นจุดขายชัดเจนหรือใหม่กว่านี้ โอกาสที่เวียดนามจะแซงขึ้นมาหรือเทียบเท่าในเร็ววันย่อมเป็นได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเวียดนามได้วางแผนรองรับเศรษฐกิจที่จะเติบโตในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ด้วยการเตรียมย้ายสนามบินในโฮจิมินห์ มาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไซง่อน เพื่อให้มีพื้นที่กว้างขึ้น จากนั้น ก็จะทำระบบขนส่งมวลชน ในรูปแบบราง เช่นเดียวกับที่ประเทศไทย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และ ระบบรถไฟความเร็วสูง
นายประเสริฐ เพชรมุนี ประธานสมาคมนักธุรกิจไทยในเวียดนาม กล่าวว่า เวียดนามเป็นประเทศที่น่าลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มทุนเอสเอ็มอี ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ เพราะเวียดนามเพิ่งเปิดประเทศเพียง 10 กว่า ปี จึงยังต้องมีการพัฒนาในหลายๆด้าน ทำให้เศรษฐกิจในช่วงต้นๆนี้โตเร็ว ประมาณ 8% ทุกปี เพราะยังเป็นฐานเล็ก ประกอบกับรัฐบาลเวียดนามให้การสนับสนุน แก่นักลงทุน เช่น การลดหย่อนภาษี ส่วนหนึ่งเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ
สำหรับคนไทยที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการเกษตร ปศุสัตว์ อาหาร รวมถึงร้านอาหาร ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ
|
|
|
|
|