Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2539
"ไอบีเอ็มยุค "วนารักษ์ เอกชัย" เปียกปอนกันโดยถ้วนหน้า"             
 


   
www resources

โฮมเพจ ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย)

   
search resources

ไอบีเอ็ม ประเทศไทย, บจก.
วนารักษ์ เอกชัย
Computer




มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย หลังจากไอบีเอ็มเจ้าของฉายา "บิ๊กบลู" แห่งวงการคอมพิวเตอร์ประกาศปรับเปลี่ยนนโยบายการตลาดด้วยการหันมายึดแนวทางทำธุรกิจร่วมกับคู่ค้า หรือที่เรียกว่า IBM BUSINESS PARTNER CHARTER ซึ่งจะเป็นแผนแม่บทที่ไอบีเอ็มจะยึดเป็นแนวทางนับจากนี้

ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ภายใต้การนำของวนารักษ์ เอกชัย กรรมการผู้จัดการดีเดย์ประกาศใช้นโยบายนี้กับบรรดาคู่ค้าและสื่อมวลชนไปเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหลังจากที่บริษัทแม่ได้จัดแถลงการณ์กับคู่ค้าทั่วโลกกว่า 3,500 คน ไปเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ เมืองซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา

แม้ว่านโยบายพึ่งพาคู่ค้าเพื่อเป็นแขนขาการขยายสินค้าและบริการจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในแวดวงธุรกิจคอมพิวเตอร์ เพราะผู้ผลิตรายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นดิจิตอลอีควีปเม้นท์ (เดค), ฮิวเลตต์-แพคการ์ด, คอมแพค หรือใครต่อใครต่องก็ใช้นโยบายพึ่งพาคู่ค้าในการผลักดันสินค้าและบริการกันมาตั้งแต่แรกแล้ว

แต่สำหรับไอบีเอ็มแล้วต้องนับว่าเป็นเรื่องใหม่

ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าไอบีเอ็มจะมีคู่ค้าช่วยทำตลาด แต่จะกำหนดให้ทำเฉพาะในบางธุรกิจที่เป็นขนาดเล็กและกลางและผลิตภัณฑ์บางประเภทเท่านั้น ในขณะที่กลุ่มลูกค้าประเภทที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มธนาคาร รวมทั้งธุรกิจทางด้านบริการที่ต้องอาศัยทักษะ ความเชี่ยวชาญมาก ๆ แล้ว ไอบีเอ็มจะทำตลาดเองมาโดยตลอด เรียกว่าไอบีเอ็มต้องการทำตัวเป็นทั้งเจ้าของเทคโนโลยี ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ให้บริการแต่เพียงคนเดียว

มาถึงยุคนี้การเหมาทำทุกอย่างไม่ใช่เรื่องถูกต้องอีกต่อไป ไอบีเอ็มจึงต้องพลิก ประวัติศาสตร์การทำธุรกิจของไอบีเอ็มอีกครั้ง

จากนโยบาย BUSINESS PARTNER CHARTR ไอบีเอ็มได้วางกลยุทธ์ในเรื่องนี้ไว้ 5 ข้อหลัก ๆ คือ 1. บริษัทคู่ค้าจะเป็นหลักในการทำตลาดในธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง โดยไอบีเอ็มจะให้การสนับสนุนการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการทำดีมานด์ เจนเนอเรชั่น อันเป็นฐานข้อมูลทางด้านไดเร็กด์มาร์เก็ตติ้ง ไอบีเอ็มไม่เคยให้คู่ค้ามาก่อน รวมทั้งลงทุนวางระบบการขายผ่านโทรศัพท์ หรือ TELECOVERAGE

2. ไอบีเอ็มจะเลือกคู่ค้าที่มีศักยภาพ และความพร้อมทำธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น ตลาดเครื่องเอทีเอ็ม และผลิตภัณฑ์ทางด้านเครือข่าย

3. ไอบีเอ็มจะสนับสนุนบริษัทที่มีความชำนาญ มีทักษะ และความพร้อมมาร่วมทำธุรกิจทางด้านบริการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการบำรุงรักษา การติดตั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์

4. ไอบีเอ็มจะเพิ่มยอดขายซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ของไอบีเอ็ม ผ่านบริษัทคู่ค้าโดยอาศัยคู่ค้าเป็นช่องทางตลาด

5. ไอบีเอ็มจะให้การสนับสนุนแก่บริษัทคู่ค้า และซอฟท์แวร์เฮาส์ต่าง ๆ ในการพัฒนา
ซอฟท์แวร์บนผลิตภัณฑ์ของไอบีเอ็ม ซึ่งไอบีเอ็มจะให้ซอฟต์แวร์เพื่อช่วยในการพัฒนาไปใช้ฟรี

ขณะเดียวกันภายในองค์กรไอบีเอ็มจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยจะจัดตั้ง "กรีนทีม" ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก ให้กับคู่ค้า ในทุก ๆ ด้าน โดยมีพงษ์ศักดิ์ ตัณสถิตย์ เป็นหัวหน้าทีมในส่วนนี้

รวมทั้งหน่วยงานไดเร็กด์มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่เข้าไปขายตรงตามชื่อแต่มีไว้เพื่อให้การสนับสนุนในเรื่องการวางแผนตลาด ตลอดจนฐานข้อมูลในการทำดีมานด์เจนเนอเรชั่นของลูกค้า

ส่วนผลิตภัณฑ์หรือลูกค้าใดที่ไม่มีคู่ค้าสนใจทำตลาด เช่น ลูกค้าราชการหรือ ตลาดเครื่องเมนเฟรมจะมอบหมายให้ทีมงานที่มีชื่อว่า "บลูทีม" เป็นผู้รับผิดชอบต่อไป

จะเห็นได้ว่าจากกลยุทธ์ที่ไอบีเอ็มวางไว้ ไอบีเอ็มจะเปิดกว้างให้คู่ค้าได้เข้าไปมีบทบาทอย่างเต็มที่ ไม่เพียงธุรกิจขนาดเล็กและกลางซึ่งไอบีเอ็มจะวางมือให้คู่ค้าเข้าไปทำตลาดเองเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร ซึ่งเป็นลูกค้าสำคัญที่ทำรายได้ให้กับไอบีเอ็ม 50% มาโดยตลอด รวมทั้งธุรกิจบริการ ซึ่งจะเป็นอีกตลาดที่ไอบีเอ็มให้ความสำคัญค่อนข้างมาก และในเรื่องของฐานข้อมูลทางการตลาดที่ไอบีเอ็มไม่เคยให้กับคู่ค้ามาก่อน

เป้าหมายของไอบีเอ็ม ก็คือต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ผ่านคู่ค้าจากที่เคยทำได้ประมาณ 40% ของรายได้ทั้งหมด หรือ คิดเป็น 2,700 ล้านบาท ของยอดรายได้ในปีที่แล้วที่ทำได้ 6,750 ล้านบาท ให้เพิ่มเป็น 75% ของยอดขายในปี 2539

แน่นอนว่า นโยบายดังกล่าวย่อมส่งผลให้คู้ค้าของไอบีเอ็มชื่นมื่นไปตาม ๆ กัน เพราะนับจากนี้บรรดาคู่ค้าทั้งหลายของไอบีเอ็มจะมีโอกาสแสวงหารายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ ์และบริการภายใต้ชื่อไอบีเอ็มได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ขึ้นอยู่กับคู่ค้าแต่ละรายจะมีศักยภาพทำตลาดได้มากน้อยเพียงใด

"การทำครั้งนี้เท่ากับเป็นการเปลี่ยนธุรกิจจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะตั้งแต่แรกเริ่มต้นธุรกิจในไทยไอบีเอ็มก็ขายเองมาตลอด แม้ในช่วงต่อมาจะให้คู่ค้าทำตลาดให้แต่จะให้ทำเฉพาะในพื้นที่ที่กำหนดให้เท่านั้น" อนันต์ ลี้ตระกูล หนึ่งในอดีตมือการตลาดของไอบีเอ็มให้ความเห็น

เช่นเดียวกับธวิช จารุวนะ บิ๊กบอสของเมโทรซิสเต็มส์ ให้ความเห็น "ไอบีเอ็มเอ็มกำลังเทขันน้ำ และไม่ใช่ค่อย ๆ เท แต่คว่ำขันเลย ขึ้นอยู่กับว่าคู่ค้าคนไหนจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะตักน้ำที่ไอบีเอ็มเทได้ ไม่ต้องอะไรมาก แค่ตลาดธนาคาร และธุรกิจบริการ ซึ่งไอบีเอ็มไม่เคยปล่อยให้ใครทำ"

สอดคล้องกับความเห็นของผู้บริหารของคอมพิวเตอร์ยูเนียน, โปร-ไลน์ ตลอดจนดาต้าโปร ซึ่งเป็นคู่ค้าเก่าแก่ของไอบีเอ็มต่างก็ขานรับกับนโยบายนี้ของไอบีเอ็มอย่างถ้วนหน้า

งานนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ ๆ ย่อมได้เปรียบกว่าตัวแทนรายเล็ก ๆ

โดยเฉพาะไอบีเอ็มจะมีการแต่งตั้งคู่ค้าที่มีความพร้อมมาก ๆ ให้เป็น "ดิสทริบิวเตอร์" ทำหน้าที่เสมือนเป็นไอบีเอ็ม ซึ่งจะต้องรับผิดชอบการทำตลาดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บสต็อกสินค้า การทำเทคนิคคอลซัปพอร์ต และยังมีสิทธิตั้งรีเซลเลอร์เพื่อช่วยทำตลาดได้ด้วย ซึ่งไอบีเอ็มจะต้องเลือกเฟ้นตัวแทนจำหน่าย ที่มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของทีมงาน การให้บริการเท่านั้น

กระนั้นก็ตาม แม้จะมีตัวแทนบางรายที่ยังไม่แน่ใจนักกับนโยบายนี้ เพราะเคยชินกับการที่มีไอบีเอ็มเป็นผู้ดูแลและให้บริการมาตลอด แต่โดยส่วนใหญ่ก็ตอบรับนโยบายในครั้งนี้อย่างยินดี และบางราย ซึ่งเคยหายหน้าหายตาไปจากตลาดก็กลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง

นั่นเพราะคู่ค้ายังเชื่อว่า ความเป็น "ไอบีเอ็ม" ยังคงขายได้ตลอดเวลา

สำหรับในด้านของไอบีเอ็มแล้ว แม้ว่าจำต้องพลิกบทบาทตัวเองเป็นแค่ "พี่เลี้ยง" คอยให้การสนับสนุนคู่ค้า แต่ก็เป็นทิศทางที่ไอบีเอ็มไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ในยุคที่ธุรกิจคอมพิวเตอร์ไม่ได้หอมหวลอีกต่อไป ผลกำไรลดต่ำลงสวนทางกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา และการแข่งขันที่บีบรัดทำให้องค์การที่อ้วนเกินไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในภาวะเช่นนี้ ซึ่งไอบีเอ็มก็ได้บทเรียนอันเจ็บปวดมาแล้วจนต้องรีดไขมันด้วยการลดพนักงานทั่วโลกลงเกือบครึ่ง

ผลที่ได้จากการพึ่งพาคู่ค้า จะทำให้ไอบีเอ็มมีพนักงานช่วยขยายตลาดเพิ่มขึ้นทันทีนับพันคน โดยไม่ต้องขยายตัวเองให้ "อ้วน" ขึ้นตามจำนวนของลูกค้า เพราะเท่ากับว่าไอบีเอ็มโยนภาระในเรื่องต้นทุนเหล่านี้ไปให้คู่ค้า ซึ่งมีต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำกว่า และไอบีเอ็มก็สามารถหันไปมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างทักษะให้กับคู่ค้าแทน

ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายนี้อาจส่งผลให้กับคู่ค้าที่เคยหนีไปทำตลาดให้กับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ยี่ห้ออื่นๆ กลับมาสู่อ้อมอกของไอบีเอ็มอีกครั้ง

กระนั้นก็ตาม เวลายังคงเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ว่า ไอบีเอ็มจะเดินไปถึงเป้าหมายได้เมื่อใด

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us