โรงแรมเซ็นทรัลพลาซาเตรียมจับมือพันธมิตรต่างประเทศตั้งบริษัทใหม่ เพื่อไปซื้อโรงแรมประเดิมภูเก็ตแห่งแรก สัปดาห์หน้าเดินทางไปดูอีก1 แห่ง ผู้บริหารคาดรายได้ปี2553แตะ 7,400 ล้านบาท จากมีห้องพักมากว่า 5,000 ห้อง คาด 3ปี ใช้งบลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท เผยปัจจัยการเมืองยังไม่กระทบ แต่เดือนเม.ย.นี้เตรียมประเมินสถานการณ์
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยว่าแผนการดำเนินงานของบริษัทจะมีการหันไปซื้อกิจการโรงแรม เพื่อที่จะไม่ต้องลงทุนจำนวนมากและรับบริหารโรงแรมแต่ก็ยังคงมีการลงทุนสร้างโรงแรมเองบ้าง โดยในเดือนเมษายนนี้บริษัทจะมีการเซ็นสัญญากับพันธมิตรต่างประเทศเพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ โดยบริษัทจะถือหุ้นอยู่ 50% เพื่อที่จะเข้าไปซื้อกิจการโรงแรมที่มีการดำเนินงานอยู่แล้ว
ทั้งนี้โรงแรมแรกที่จะเข้าไปซื้อกิจการอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งอยู่บริเวณเกาะลันตาและเกาะกูดมูลค่า 1,400 ล้านบาท มีขนาด 350 ห้อง และสัปดาห์หน้าบริษัทจะเดินทางไปดูโรงแรมที่จังหวัดภาคใต้อีก 1 แห่งเพื่อจะเข้าซื้อกิจการ โดยในปีนี้บริษัทจะมีโรงแรมใหม่ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้น 6 แห่ง คือ 2 แห่งที่จะเข้าซื้อกิจการและอีก 4 โรงแรมเป็นการรับบริหารซึ่งจะเป็นโรงแรมในต่างประเทศแถบเอเซียซึ่งทั้ง 4 โรมแรมนั้นอยู่ใน 1 ประเทศ
สำหรับปี2549 บริษัทจะใช้เงินลงทุนรวม 3,200 ล้าบาท แบ่งเป็นลงทุนในธุรกิจอาหาร 400 ล้านบาท การเปิดสาขาใหม่อีก 63 สาขา และปรับปรุงสาขาเดิม ทำให้ปีนี้มีสาขารวมทั้งสิ้น 490 สาขา และที่เหลือลงทุนในธุรกิจโรงแรม โดย 3 ปีจากนี้บริษัทตั้งงบลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท ในการลงทุนสร้างโรงแรมใหม่ คือที่ เกาะลันตา กระบี่ เกาะกูด ตราดและเชียงราย ซึ่งจะทำให้มีห้องพักเพิ่มขึ้นอีก 1,500 ห้อง
“งบลงทุน10,000 ล้านบาทจะมาจากเงินกู้ 6,000 ล้าบาท และอีก 4,000 ล้านบาท จะมาเงินทุนของบริษัท ซึ่งจะมาจากกระแสเงินสดในการดำเนินงาน 3,000 ล้านบาท และอีก 1,000 ล้านบาทจะมาจาก 4 แนวทาง คือ1. ชะลอการลงทุนโรงแรมที่จังหวัดภูเก็ต 2.ขายธุรกิจอาหารออกไป 40% 3.ตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์และ4.หาพันธมิตรร่วมทุน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปทางเลือกภายในปีนี้ ”นายรณชิต กล่าวว่า
นายรณชิต กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปี 2553 บริษัทจะมีห้องพักรวมมากกว่า 5,00 ห้องซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 7,400 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทคาดรายได้รวม 6,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปี48 ที่มีรายได้รวม 6,239 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจโรงแรมในไตรมาส1/49ค่าเช่าห้องต่อคืนฉลี่ยมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 3,400 บาท จากไตรมาสเดียวกันปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3,052 บาทต่อคืน และธุรกิจอาหารในปีนี้จะมีการเปิดสาขาเพิ่มอีก 63 สาขา และเพิ่มสินค้าประเภทใหม่ๆ ก็จะทำให้รายได้ทั้งอาหารและธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้น
“บริษัทคาดรายได้ปี2549จำนวน 6,900 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ธุรกิจโรงแรมจำนวน 2,600 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 9.5% จากปีก่อน ธุรกิจอาหาร 4,300 ล้านบาท ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้น 11.3%จากปีก่อน โดยในไตรมาส1/2549 บริษัทคาดรายได้รวม 1,670 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดของทุกๆไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีรายได้จากธุรกิจอาหาร 970 ล้านบาท และธุรกิจโรงแรม700 ล้านบาท ”นายรณชิต กล่าวว่า
สำหรับปัจจัยทางเมืองนั้นในระยะสั้นยังไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทซึ่งในธุรกิจโรงแรมนั้นก็มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักอย่างต่อเนื่องยังไม่มีการปรับตัวลดลง ซึ่งโรงแรมที่หาดใหญ่ในช่วงสงกรานต์ก็มีนักท่องเที่ยวจองเข้าพักแล้ว 95% ดังนั้นเชื่อว่าหากเหตุการณ์ไม่รุนแรงก็จะไม่กระทบการดำเนินงานธุรกิจ แต่ในช่วงเมษายน บริษัทก็จะมีการประเมินสถานการณ์ว่าบริษัทจะมีการปรับแผนการดำเนินงานหรือไม่จากปัจจัยทางการเมือง
อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าจากปัจจัยทางเมืองที่เกิดขึ้นมีผลทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มขึ้น 3-4 % จากเดิมที่คาดว่าจะมีการเติบโต 5.5-5.7%
|