เคาน์เตอร์เซอร์วิส ทุ่มงบ 100 ล้านบาท เปิด 500 สาขา พร้อมปรับโฉมสาขาเก่า-บูมด้านบริการขยายเพิ่ม 100 รายการรองรับเศรษฐกิจพ่นพิษ คาดคนงดเดินทางไปชำระเงินเอง มั่นใจมีผู้มาแห่ใช้บริการเพิ่ม 20% หรือ 100 ล้านบิล จากปีที่ผ่านมีรายได้ 810 ล้านบาท หรือ 81 ล้านบิล

นายประเสริฐ มนูพิบูลย์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาการให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 500 สาขาทั่วประเทศ จากเดิมที่มีอยู่กว่า 4,500 สาขา ทั้งนี้เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มขึ้น คนจึงหันมาใช้บริการชำระค่าสินค้าผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสแทน

"เคาน์เตอร์เซอร์วิส ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการไปชำระค่าสินค้าหรือบริการนั้นๆ ในยุคน้ำมันแพง คนส่วนใหญ่จึงหันมาใช้บริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ใกล้บ้าน แทนการไปชำระค่าบริการตามหน่วยงานนั้นๆแทน ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะมีผู้มาใช้บริการทั้งปีประมาณ 100 ล้านบิล เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 20 % ได้อย่างแน่นอน"

สำหรับการเพิ่มสาขาอีก 500 สาขานั้น ในขณะนี้เริ่มเปิดไปบ้างบางส่วนแล้ว เชื่อมั่นว่าภายในสิ้นปีจะครบ 5,000ตามที่ตั้งเป้าไว้ ทั้งนี้บริษัทใช้งบประมาณไปกว่า 100 ล้านบาทในการเพิ่มจำนวนสาขาในครั้งนี้ ทั้งในส่วนของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ 50 ล้านบาท และการขยายสาขาปรับปรุงระบบอีก 50 ล้านบาท

ซึ่งการเพิ่มเป็น 5,000 สาขาในปีนี้นั้น จะสามารถแบ่งจำนวนเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านเซเว่นอีเวฟเว่นได้ 3,600 สาขา และนอกร้านเซเว่น 1,400 สาขา หรือคิดเป็นสัดส่วนจำนวนสาขาในกรุงเทพมหานคร 2,500 สาขา และต่างจังหวัดอีก 2,500 สาขา เท่าๆกัน

นอกจากนี้เคาน์เตอร์เซอร์วิสยังได้เตรียมเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นอีกกว่า 100 รายการ จากเดิมที่มีอยู่ 160 รายการในปัจจุบัน เช่น การชำระภาษี การชำระค่าสินเชื่อจากธนาคารเกิดใหม่ อย่างธนาคารเกีรยตินาคิน หรือการบริการชำระค่าน้ำปะปาในต่างจังหวัด รวมไปถึง การบริจาคเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสไปยังมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการ และมูลนิธิต่างๆอีกด้วย

ในปีที่ผ่านมาเคาน์เตอร์เซอร์วิสมีรายได้กว่า 810 ล้านบาท จากผู้มาใช้บริการจำนวน 81 ล้านบิล ครองอันดับหนึ่ง ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 71 % รองลงมาคือ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) และปีนี้คาดว่าจะมีผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก 20 %

ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจที่ลูกค้านิยมมาชำระค่าบริการนั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มบัตรเครดิต และกลุ่มเช่าซื้อสินค้า โดยอัตราการให้บริการนั้น จะอยู่ที่ 10- 30 บาท แล้วแต่ละรายการ