|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
มุ่งพัฒนาเตรียมต่อยอดธุรกิจ เล็ง 2 ธุรกิจใหม่ในกลุ่มเสื้อผ้าเด็กและอาหารเด็ก ขณะนี้กำลังศึกษาตลาดอยู่คาดว่าภายใน 1 ปีจะเห็นผล ในส่วนพีเจ้นปีนี้เดินหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่ 60-70 รายการ เน้นสินค้าที่มีหลายฟังก์ชั่นและตลาดยังไม่มี พร้อมรุกตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นหลังเห็นช่องว่างทางการตลาด รวมถึงขยายช่องทางขายทั้งอี-คอมเมิร์ส , ขายตรงผ่านแอมเวย์ และร้านพีเจ้นชอป ตั้งเป้าสิ้นปียอดขายโต 15%
นายนิรามัย ลักษณานันท์ รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัทมุ่งพัฒนามาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก ภายใต้แบรนด์ “พีเจ้น” เปิดเผยว่า ปัจจุบันอัตราการเกิดของเด็กมีน้อยลงอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 6-7 แสนคนต่อปี หรือหนึ่งครอบครัวจะมีลูกไม่เกิน 1-2 คน บริษัทฯจึงต้องเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ตลาดยังไม่มี อย่างเบบี้ไวพ์ที่บริษัทฯเป็นรายแรกที่เปิดตลาด รวมถึงบริษัทฯยังได้มองหาธุรกิจอื่นที่ช่วยต่อยอดหรือเสริมรายได้มากขึ้น ซึ่งธุรกิจที่น่าสนใจลงทุน อาทิ เครื่องแต่งกายเด็กและอาหารเด็ก เบื้องต้นสินค้าจะนำเข้าจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นที่มีสินค้าอยู่หลายกลุ่มและครบไลน์
ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงศึกษาตลาดอยู่ เนื่องจากธุรกิจเสื้อผ้าเด็กปัจจุบันมีคู่แข่งมาก โดยอุตสาหกรรมมีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งในแง่แบรนด์พีเจ้นก็มีความได้เปรียบอยู่แล้ว ส่วนอาหารเด็กมีความยุ่งยากในขั้นตอนการขออย. ดังนั้นบริษัทฯจึงต้องศึกษาตลาดให้ดีก่อน สำหรับอาหารเด็กที่บริษัทแม่มีจำหน่าย เช่น น้ำซุป,อาหารแห้ง, อาหารกึ่งสำเร็จรูปพร้อมปรุง เป็นต้น ทั้งนี้ธุรกิจใหม่คาดว่าภายใน 1 ปีน่าจะเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
พีเจ้นขนสินค้าใหม่เปิดตัว 60-70 รายการ
นายเมธิน เลิศสุมิตรกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทฯ เปิดเผยถึงกลยุทธ์การตลาดปีนี้ของพีเจ้นว่า บริษัทฯจะเน้นการแตกไลน์สินค้าใหม่ที่สามารถใช้งานได้หลายอย่างหรือสินค้ายังไม่มีใครทำตลาด ซึ่งในแต่ละปีเฉลี่ยจะมีสินค้าใหม่ 60-70 รายการ โดยเมื่อช่วงต้นปีบริษัทฯเพิ่งเปิดตัวสินค้าใหม่ ได้แก่ ถ้วยหัดดื่ม และเบสต์พั๊มส์ จากปัจจุบันมีกว่า 600-700 รายการ และสินค้าที่ทำตลาดจริงจะมี 100 รายการ อาทิ จุกนม,ขวดนม,เบบี้ไวพ์ เป็นต้น
ประกอบกับการเน้นขยายช่องทางการขายใหม่ๆ อาทิ การขยายสินค้าสู่สเปเชี่ยล ชอป หรือพีเจ้นชอป ซึ่งมีแผนจะเปิดในรูปแบบแฟลกชิพสโตร์ที่จำหน่ายสินค้าแบบครบวงจรของพีเจ้น โดยเล็งเปิดสาขาในกรุงเทพฯก่อน ภายใต้งบลงทุนสาขาละ 4-5 ล้านบาท คาดว่าจะได้เห็นภายในปีนี้ 1 ชอป
ขณะที่ช่องทางการขายอื่นๆ เช่น ขายตรงผ่านแอมเวย์ ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าเบบี้ ไวพ์ 1 รายการ โดยบริษัทฯมีแผนเพิ่มสินค้าในช่องทางนี้อีก 10 รายการ ขณะนี้กำลังเจรจาอยู่และคาดว่าจะรู้ผลอีก 1-2 เดือนนี้ อีกทั้งมีแผนขยายช่องทางไปสู่อี-คอมเมิร์ซ คาดว่าจะเสร็จภายในครีงปีแรกนี้ ซึ่งสัดส่วนยอดขายของขายตรงและอี-คอมเมิร์ซ คิดเป็นสัดส่วน 5% และอีก 95% เป็นช่องทางโมเดิร์นเทรดและเทรดดิชั่นนัล
รุกขยายฐานต่างจังหวัด
“ปีนี้เราจะรุกตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากยังมีช่องว่างและโอกาสทางการตลาดอยู่มาก โดยเฉพาะจังหวัดที่มีกำลังซื้อดี เช่น เชียงใหม่,ชลบุรี โคราชและอุดรธานี เป็นต้น ซึ่งการขยายตลาดจะทำผ่านทั้งโมเดิร์นเทรด ไฮเปอร์มาร์เก็ต โลคอล ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ และแคชแวร์หรือรถจำหน่ายสินค้าพีเจ้นด้วยเงินสด ภายใต้งบการตลาด 30% จากงบตลาดรวมทั้งปี 25 ล้านบาท”
ทั้งนี้เมื่อต้นปีบริษัทฯได้มีการลงทุนกว่า 50 ล้านบาทในการขยายโรงงานผลิตจุกนมและขวดนมเพิ่ม 1 แห่ง ในบริเวณโรงงานเดิม เพื่อรองรับการผลิตสินค้าทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก 20-30% โดยโรงงานนี้จะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงกลางปีนี้
สำหรับยอดรายได้ของพีเจ้นปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 215 ล้านบาทหรือเติบโต 15% จากปีที่แล้ว โดยยอดขายแบ่งเป็นกลุ่มสินค้าผลิตในประเทศ 65% และนำเข้าจากต่างประเทศ 35% ทั้งนี้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมียอดขายโตกว่า 20% หากเทียบกับปีก่อน เป็นเพราะการเปิดตัวสินค้าใหม่และจัดกิจกรรม 2 งาน เช่น เบบี้ เบสต์ บาย ที่ศูนย์สิริกิติ์และงานรักลูกที่เมืองทองธานี โดยเรื่องภาวะเศรษฐกิจและการเมืองไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสินค้าแม่และเด็ก เนื่องจากตลาดมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนและคุณแม่ยุคใหม่ใช้จ่ายเพื่อลูกต่อหัวมากขึ้น
ตลาดรวมผลิตภัณฑ์แม่และเด็กปีที่แล้วมีมูลค่า 570 ล้านบาทและเติบโต 10% โดยตลาดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ตลาดพรีเมี่ยม 255 ล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วน 45% ตลาดระดับกลาง 148 ล้านบาทและคิดเป็น 26% และตลาดล่าง 167 ล้านบาทและคิดเป็น 29% ปีนี้คาดการณ์าตลาดรวมจะโต 10% โดยพีเจ้นเป็นผู้นำตลาดพรีเมี่ยมและกลางด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 38%
|
|
|
|
|