ธอส. ปล่อยสินเชื่อระดับรากหญ้าในโครงการบ้านมั่นคง ประเดิม 25 ชุมชนมูลค่า 200 ล้านบาท เน้นปล่อยผ่านสหกรณ์ชุมชนเพื่อเป็นหลักประกันดูแลลูกหนี้ พร้อมรอประเมินผล 6 เดือนหากไม่มีปัญหาหนี้เสียเดินหน้าโครงการเต็มสูบ ตั้งเป้าภายใน 4 ปี 200,000 กว่า ยูนิต มูลค่า 30,000 ล้านบาท
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.มีภารกิจหลักในการช่วยเหลือสนับสนุนและส่งเสริมให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองตามอัตภาพ โดยล่าสุดได้เดินหน้าไปสู่การช่วยเหลือประชาชนระดับรากหญ้า หรือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนแออัด ให้ได้มีโอกาสพัฒนาและปรับปรุงที่อยู่อาศัย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารจะสนับสนุนสินเชื่อด้วยการรับรีไฟแนนซ์หนี้(Re-finance)โครงการที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ได้ช่วยพัฒนา ซึ่งได้ให้สินเชื่อไปแล้ว จำนวน 25 โครงการ เป็นจำนวนเงินประมาณ 200 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 4% ต่อปี ระยะเวลา 15 ปี ซึ่ง พอช. ได้รับเงินอุดหนุนดอกเบี้ยจากรัฐบาลจำนวน 2% ต่อปี ส่วนที่เหลืออีก 2% ผู้อยู่อาศัยจะเป็นผู้จ่าย ส่วนอัตราการผ่อนชำระบ้านแฝด 2 ชั้น วงเงิน 170,000 บาท ผ่อน 940 บาท/เดือน, บ้านแถว 2 ชั้น 130,000 บาท ผ่อน 725 บาท/เดือน และบ้านแฝด 4 ชั้น 1150,000 บาท ผ่อน 640 บาท/เดือน ในส่วนของค่าเช่าที่ดินนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการ
สำหรับการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการบ้านมั่นคง เป็นการให้สินเชื่อแก่องค์กรชุมชนที่เป็นนิติบุคคลหรือคณะบุคคล และเป็นโครงการที่มีการพัฒนาอยู่ในระดับที่มั่นคง หรือเป็นโครงการที่ใช้สินเชื่อจากพอช.แล้ว โดยมีการผ่อนชำระที่ผ่านมากับพอช.สม่ำเสมอไม่มีงวดค้างชำระ และเป็นโครงการที่มีหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์ในโครงการ สิทธิการเช่าที่ดิน และบุคคลค้ำประกัน ซึ่งอาจเป็นคณะกรรมการ หรือสมาชิกของกลุ่ม/สหกรณ์ และเป็นโครงการที่ชุมชนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยในกรณีการเช่าที่ดินจะต้องได้รับสิทธิการเช่าเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าระยะเวลาการใช้สินเชื่อ โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ยให้สอดคล้องใกล้เคียงกับการให้สินเชื่อของพอช. แต่หากมีการผิดนัดชำระ จะคิดเท่าอัตราลูกค้าทั่วไป
นายขรรค์กล่าวว่า ในเบื้องต้นธอส.จะใช้กับโครงการนำร่องโดยปล่อยสินเชื่อให้แก่ชุมชน 25 โครงการมูลค่า 200 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนั้นจะรอประเมินผลโครงการ ทั้งในส่วนของการชำระหนี้ และปัญหาต่างๆ หากไม่มีผลเสียจะดำเนินการปล่อยต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าภายใน 4 ปี ปล่อย 200,000 ยูนิต มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท ส่วนเม็ดเงินนั้นจะต้องมาพิจารณากันอีกครั้งว่าจะดึงมาจากส่วนใด
“ ในส่วนของภาวะอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ที่ธอส.ได้ปรับขึ้นมาแล้ว 0.75% หากธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศปรับขึ้นอีก ธอส.ก็จะต้องปรับขึ้นตาม หรือไม่ต้องรอดูธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นว่ามีท่าทีอย่างไร แต่เชื่อว่าในช่วงต่อจากนี้ดอกเบี้ยจะปรับขึ้นอีกประมาณ 2 ครั้งหรือประมาณ 0.50% ซึ่งเมื่อรวมทั้งปีคาดว่าจะไม่เกิน 1.25%”
นางสาวสมสุข บุญญะบัญชา ผู้อำนวยการพอช. กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้มอบหมายให้ พอช. ดำเนินการแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยของชาวชุมชนแออัด ตามโครงการ “บ้านมั่นคง” เพื่อแก้ปัญหาและสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยแก่คนจนในชุมชน ตั้งแต่ พ.ศ. 2546-2551 ทั่วประเทศ จำนวน 2,000 ชุมชน รวม 300,000 ครัวเรือน ซึ่งในเบื้องต้นได้มีการอนุมัติงบประมาณนำร่องในการดำเนินโครงการดังกล่าว ตั้งแต่ปี2546จำนวน10 ชุมชน 1,525 ครัวเรือน และปี 2547 จำนวน 15,000 ครัวเรือน ปัจจุบัน ณ กุมภาพันธ์ 2549 ได้ดำเนินการไปแล้ว จำนวน 59,800 ครัวเรือน
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กล่าวเพิ่มเติมว่า การร่วมลงนามในครั้งนี้ ธอส.และพอช. ได้มาเยี่ยมชมโครงการ “ชุมชนร่วมสามัคคี” ซอยรามคำแหง 39 ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนที่ประสบความสำเร็จ ที่ พอช. ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย ที่อพยพมาจากต่างถิ่น และได้อาศัยในที่ดินสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มากกว่า 20 ปี จนประสบความสำเร็จในการการรวมกลุ่มและบริหารงานผ่านคณะกรรมการสหกรณ์เคหะสถานชุมชนร่วมสามัคคี จำกัด
|