Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2539
"ปิ่น - สุระจันทร์ เทกโอเวอร์เหมือนกัน แต่ตอนจบต่างกัน"             

โดย สุปราณี คงนิรันดรสุข
 

   
related stories

"ปิ่น จักกะพาก"
"แบงก์ใหม่ จะสอบผ่านกันสักกี่ราย ?"

   
search resources

ปิ่น จักกะพาก
สุระ จันทร์ศรีชวาลา




"ราชาแห่งการเทกโอเวอร์ของเมืองไทย" ฉายาของปิ่น จักกะพากที่นิตยสารฟอร์จูนประจำเดือนพฤศจิกายน 2536 ตั้งชื่อให้เมื่อเทียบปิ่น จักกะพาก กับสุระจันทร์ จันทร์ศรีชวาลา (เดิมชื่อสุระ แต่ภายหลังได้ต่อท้ายชื่อเก่าด้วยคำว่า "จันทร์" ซึ่งเป็นชื่อพี่ชายผู้มีพระคุณ) ทั้งสองมีภาพพจน์เหมือนกันคือเป็นนักเทกโอเวอร์ตัวยงผู้มองเห็นโอกาสช่องทางธุรกิจก่อน แล้วเดินหมากเกมการเงินรุกฆาตคู่แข่งได้เหนือเมฆ

เส้นทางการเดินของทั้งสองไม่ต่างกัน เป้าหมายคือกำไร สุระจันทร์เดินมาก่อน จากช่องทางที่ไปเทกโอเวอร์ บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทประกันภัย และท้ายสุดจบลงด้วยแบงก์

แต่สิ่งที่ต่างกันคือ สุระจันทร์ไม่ใช่ปิ่น และปิ่นก็ไม่ใช่สุระจันทร์ !

สมัยที่สุระจันทร์ชอบเทกโอเวอร์กิจการที่มีที่ดินซ่อนไว้ เพราะยุคนั้นการกู้ยืมจากแบงก์เพื่อขยายงาน แบงก์ชาติยังมีกฎเหล็กจำกัดการลงทุนไว้มาก ต้องอาศัยที่ดินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่ว่าจะกู้แบงก์กรุงไทยหรือแบงก์แหลมทอง สุระจันทร์จึงรอดจากเงื้อมือกฎหมายได้ก็เพราะป้องกันตัวเองไว้ดีด้วยที่ดินที่ค้ำไว้กับแบงก์คุ้มกับหนี้

แต่สมัยปิ่นใช้กลยุทธ์แปลงหนี้เป็นทุน โดยใช้แหล่งเงินทุนมาจากการระดมทุนจากตลาดหุ้นแทนที่จะกู้แบงก์เป็นหลักดังนั้น บริษัทเป้าหมายที่ปิ่นเทกโอเวอร์จึงมักเกี่ยวข้องทางตรงและทางอ้อมกับตลาดหุ้นไทย พอร์ตโฟลิโอของเอกธนกิจจึงมีขนาดใหญ่มาก ๆ ไม่ต่ำกว่า 10,000-14,800 ล้านบาท เวลาพอร์ตยักษ์นี้ขยับทีจึงสะเทือนตลาดหุ้นเป็นหุ้นทรงอิทธิพลที่ ก.ล.ต. จับตา

มหกรรมการเทกโอเวอร์ของทั้งสองเกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ ขณะที่ปิ่นยังนั่งทำงานอยู่ที่เชสแมนฮันตันแบงก์ช่วงปี 2518-2521 สุระจันทร์เริ่มโตด้วยการเทกโอเวอร์ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ กิจการบริษัทเงินทุนหลายแห่งประสบปัญหาวิกฤต

บริษัทเงินทุนแห่งแรกที่สุระจันทร์เข้าไปเทกโอเวอร์คือ บริษัทเงินทุนโฮ้วป่า ที่เป็นของจิม สเลเตอร์ นักเล่นแร่แปรธาตุชาวอังกฤษที่ใช้กลอุบายทางธุรกิจซื้อมาจากเจ้าของยาหม่องตราเสือ บริษัทนี้ได้ถูกขายให้สุระจันทร์และครอบครัวในปี 2520 โดยแรงสนับสนุนการเงินจากภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์หรือหลานเหน่งของสมบูรณ์แห่งแบงก์แหลมทอง เมื่อสุระจันทร์ต้องเพิ่มทุนจากเดิม 20 เป็น 40 ล้านบาท

สุระจันทร์กลายเป็นเสือติดปีกเมื่อบริษัทเงินทุนมิดแลนด์หรือเดิม บง. โฮ้วป่าสามารถระดมเงินฝากจากประชาชน ฐานเงินทุนตรงนี้สุระจันทร์เอาไปชอปปิ้งซื้อบริษัทที่มีที่ดินเป็นสินทรัพย์มากแม้จะมีปัญหาดำเนินงานขาดทุน

นี่คือที่มาของการซื้อไทยประสิทธิประกันภัย ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในบริษัทยนตรภัณฑ์ซึ่งมีที่ดินผืนงามที่นักเล่นที่ดินอย่างสุระจันทร์ต้องการมาก ๆ เช่นที่ดินสี่พระยาใกล้ถนนนเรศซึ่งปัจจุบันแบงก์เอเชียเช่าเป็นสำนักงาน ที่ดินซอยอโศก ที่ดินในต่างจังหวัด เช่น หาดใหญ่ อุดรธานีและนครราชสีมา ที่ดินเหล่านี้บางผืนขายให้กับกลุ่มสุธี นพคุณ และกลายเป็นเรื่องพัวพันที่ดึงให้สุระเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ จนกระทั่งเทกโอเวอร์โรงแรมรามาทาวเวอร์

บริษัทเงินทุนแห่งที่สองที่สุระไปเทกโอเวอร์คือบริษัทเงินทุนนามทอง ในเวลาไม่ถึงสองเดือนสุระขายต่อให้สถาบันการเงินในลักเซมเบอริ์ก ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น บีซีซี งานนี้สุระจันทร์ได้กำไรไม่ต่ำกว่า 20 ล้าน

บริษัทเงินทุนแห่งที่สามคือ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ชาร์เตอร์ ซึ่งขายให้สุระจันทร์ ยังไม่ทันหมึกที่เซ็นเช็คจ่ายชาร์เตอร์จะแห้ง สุระจันทร์ก็ขายต่อให้ชวลิต หล่อไพบูลย์ทันทีได้กำไรมา 10 ล้าน

จะเห็นว่าสิ่งที่สุระจันทร์ทำให้อดีตนั้นเป็นการทำธุรกิจแบบเก็งกำไรอย่างเดียว มิได้รังสรรค์ผลิตผลทางอุตสาหกรรมการเงินประเภทใดขึ้นมาเพื่อประโยชน์ต่อสังคม สุระจันทร์เพียงแต่ซื้อมาขายไป ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหมือนสมัยปิ่น

มันเป็นเกมธุรกิจที่อเมริกาเล่นกันมาก อย่างกรณีเหมือนการซื้อ อาร์ เจ เรโนลต์ ซึ่งมีบริษัทลูกหลายสิบบริษัท เมื่อมีการซื้อหุ้นบริษัทแม่ 100% เอาบริษัทลูกมาขายทิ้งหมด ซื้อบริษัทแม่ 100 บาท พอขายบริษัทลูกทิ้งได้ 150 บาท แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจเลย ซึ่งทำให้เกิดความวิตกในอเมริกาว่า ไฟแนนเชียลเกมมันเกินเลยไปจุดหนึ่ง การวิเคราะห์วิจัยมีไม่ได้ เพราะมันเป็น NON-TARGIBLE ASSET

ถ้าจะเทียบระหว่างธุรกิจในกลุ่มของสุระจันทร์กับกลุ่มธุรกิจของปิ่น จักกะพาก เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่า คุณลักษณะในการสร้างสรรค์ของปิ่นมีมากกว่าสุระจันทร์ เพราะปิ่นเมื่อเทกโอเวอร์บริษัทใดขึ้นมาก็ทำให้เจริญเติบโตขึ้น พร้อมกับสร้างคุณภาพของบุคลากรให้ดีขึ้นในสาขานั้น แทนที่จะมัวยุ่งกับการซื้อมาแล้วขายไป ซึ่งว่าไปแล้วคุณค่าของคนคนนั้นก็ไม่ต่างไปกว่าคนขายของหลุดจากโรงจำนำเลยแม้แต่น้อย

ขณะที่คนแบบปิ่นใช้ยุทธวิธีสร้างความเติบโตของอาณาจักรเอกธนกิจ ที่สามารถครอบครองมาร์เกตแชร์โดยรวมสูงสุดถึง 30% โดยทีมงานของปิ่นเข้าไปศึกษาข้อมูลและซื้อกิจการแบบมีนักกฏหมายอย่าง ดร. สุวรรณ วลัยเสถียรเป็นกุนซือ เพราะปิ่นรู้ว่าแบงก์ชาติกำหนดให้สถาบันการเงินอย่างเอกธนกิจ เอกธำรงหรือเอกเอเซียลงทุนได้เต็มที่ก็ไม่เกิน 10% จึงหาช่องทางให้บริษัทลูกในเครือไปถือหุ้นแทน เป็นเหตุให้กลุ่มเอกธนกิจเป็นต้นแบบของครอสโฮลดิ้งหรือถือหุ้นไขว้มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง

นอกจากนี้เทคนิคการบริหารพอร์ตที่ปิ่นทำเป็น แต่สุระจันทร์ทำไม่เป็น ก็คือ บริษัทในกลุ่มเอกธนกิจเกือบทุกบริษัทเช่น เอกธำรง เอกโฮลดิ้ง จะกันเงินกองทุนไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าปีไหนกำไรดีก็ไม่ต้องดึงหุ้นในพอร์ตมาช่วย แต่ถ้าปีไหนตัวเลขไม่สวยต่ำกว่าเป้า ก็จะโอนหุ้นดีราคาถูกจากพอร์ตกองกลางเข้าบัญชีพอร์ตของบริษัทลูก ทำให้กำไรทะยาน ผู้ถือหุ้นก็แฮปปี้ถ้วนหน้า กำไรของกลุ่มเอกธนกิจจึงดีมาตลอด เพราะปิ่นและทีมงานมีกลยุทธ์ "ดูแลดีเป็นพิเศษ" ซึ่งปิ่นก็ได้วิธีการนี้มาจากต่างประเทศ ใครไม่เข้าใจความซับซ้อนซ่อนเงื่อนจึงนึกว่าปิ่นเป็น "พ่อมดการเงิน"

ในปี 2529 ปิ่นเมื่อวัย 36 เป็นพ่อมดน้อยอยากได้ใบอนุญาตค้าหลักทรัพย์ เพื่อรุกตลาดทุนที่ปิ่นมีข้อมูลว่ารุ่งโรจน์ ทั้ง ๆ ที่ปี 2528 วิกฤตสถาบันการเงินยังเป็นฝันร้าย ปิ่นเริ่มเทกโอเวอร์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลด์ฮิลล์ จากธานี บรมรัตนธน ทายาทมหาเศรษฐีลิมซิวเหลียง แล้วภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "บล. เอกธำรง" โดยมี "ภควัตโกวิทพัฒนพงศ์" อดีตนักเรียนทุนเอ็มบีเอวาร์ตันของกสิกรไทย มาเป็นกรรมการผู้จัดการมาดวิชาการของเอกธำรง ที่สามารถดันเอกธำรงเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นได้ในอีกสามปีต่อมา เป็นปีทองที่หุ้นบูมมาก ๆ ในปี 2532-33 เอกธำรงกลายเป็นทั้งนายหน้าและอันเดอร์ไรเตอร์หลักทรัพย์ชั้นนำที่ครองมาร์เกตแชร์สูงสุดและทำกำไรมหาศาลจากปี 2532 กำไร 132 ล้าน กระโดดพุ่งแตะ 1,015 ล้านบาทในปี 2537 เพราะเดินตามนโยบายแม่ที่เลือกลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น ถือหุ้นใน บงล. นิธิภัทร เป็นต้น

"โดยทั่วไปนั้น เราต้องซื้อของที่มันสามารถพัฒนาได้ ขณะที่ผู้ขายเองก็ได้ราคาที่พอใจ คิดว่าวันนี้ถ้าผู้ขายเอกธำรงกลับมาดู VALUE ที่มันมีอยู่ คือมี 5 ล้านหุ้น ราคาประมาณหุ้นละ 600 บาท ก็ประมาณ 3 พันล้านบาท เขาก็คงเสียดาย แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าจุดที่เราซื้อเขาประมาณ 2 ปีครึ่งมาแล้วนี้ ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ตลาดหุ้นไม่บูม เขากลับเป็นผู้ชนะ เรากลับเป็นผู้แพ้ มันเป็นการอ่านค่าหรือ VALUE ณ จุดใดจุดหนึ่ง ดังนั้นการซื้อของนี่เรื่องจังหวะเวลาสำคัญแต่ที่สำคัญกว่าคือ คุณสามารถพัฒนาให้มันมีค่ามากขึ้นกว่าเมื่อตอนคุณซื้อมาหรือเปล่า?" ปิ่นเล่าในวาระครบรอบ 25 ปีของเอกธนกิจเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2538

ปีต่อมา 2530 ปิ่นซื้อบริษัทหลักทรัพย์ศรีไทย ภายหลังเปลี่ยนเป็น บล. เอกเอเซีย ซึ่งขณะนี้กิตติรัตน์ ณ ระนองบริหารอยู่ กิตติรัตน์เกิดและโตมาจากเอกธำรงที่มีภควัตเป็นครู และให้โอกาสกิตติรัตน์ไปบุกเบิกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณอินเวสเมนท์ ก่อนจะไปเป็นเอ็มดี. ของเอกเอเซียตามคำขอของปิ่นเพื่อฟื้นฟูพอร์ตลงทุนให้มีคุณภาพดีกว่าเดิม

ปี 2531 ร่วมกับจาร์ดีน เฟรมมิ่ง จากฮ่องกง และครอบครัวไกรศรี จาติกวณิช ซึ่งผูกพันโดยสายภรรยาปิ่น ซื้อบริษัท ไอ.เอส.ที.แอล ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทหลักทรัพย์ เจ.เอฟ.ธนาคม แล้วย้ายกรณ์ จาติกวณิช จากเอกธำรงไปเป็นใหญ่ระดับกรรมการผู้จัดการที่นี่

ปี 2533 ซื้อบริษัทเอเซีย อิควิตี้ โฮลดิ้ง 45% โดยอาศัยสายสัมพันธ์กับเพื่อนพ่อ นุกูล ประจวบเหมาะซึ่งเป็นประธานแบงก์เอเชียยุคนั้น ดึงแบงก์เอเชียเข้าเป็นพันธมิตรธุรกิจด้วย

ปี 2534 ซื้อบริษัทฟิลาเท็กซ์ผู้ผลิตยางยืดและที่สำคัญเป็นบริษัทรับอนุญาตในตลาดหุ้นด้วยมูลค่า 200 ล้านบาท และเอาฟิลาเท็กซ์ ไปซื้อบริษัทท่าจีนอีก 255 ล้านบาท เป็นกลยุทธ์ของปิ่นในการสร้างรายได้ให้ฟิลาเท็กซ์พ้นภาวะขาดทุน นอกจากนี้หวังให้ฟิลาเท็กซ์ระดมทุนจากตลาดหุ้นเข้าพยุงอุตสาหกรรมเรียลเอสเตทในเครือเอกธนกิจด้วย ปัจจุบันฟิลาเท็กซ์คือบริษัทเอกโฮลดิ้ง

ปี 2535 เทกโอเวอร์ บงล. ธนานันต์ ซึ่งนับเป็นตัวอย่างกรณีศึกษาที่สะท้อนวิสัยทัศน์และการจัดการลงทุนของปิ่นอย่างชัดเจนกรณีของ "บงล. เอกธนา" ที่เดิมชื่อ บงล. ธนานันต์ ปิ่นซื้อในปี 2535 ซื้อเพราะอยากได้ใบอนุญาตเงินทุนหลักทรัพย์ที่ครบ 8 ใบ มีสาขามากที่สุดถึง 14 แห่งและมีหลักทรัพย์ที่ดินติดปลายนวมมาอีกไม่ต่ำกว่าพันไร่ เหนือสิ่งอื่นใดธนานันต์มีเก้าอี้โบรกเกอร์หรือเป็นบริษัทสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์ด้วย

ปิ่นตัดสินใจต้องเทกโอเวอร์ บงล. ธนานันต์ให้ได้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านที่เห็นว่าธนานันต์เป็นบริษัทเน่า ๆ ที่สะสมปัญหาซึ่งเกิดจากการควบกิจการบริษัทการเงิน 6 แห่งในกลุ่มสากลเคหะและความเละเทะของการบริหารของทางการในโครงการสี่เมษา ขณะนั้นธนานันต์มีสินทรัพย์ 9,000 ล้านบาท หนี้สิน 8,806 ล้านบาท และเงินกองทุนติดลบ 69 ล้านบาท นับว่าเป็นบริษัทเน่า ๆ ที่ปิ่นเข้าไปซื้อจริง ๆ

งานนี้ปิ่นกับทีมงานต่อรองจนได้เงื่อนไขที่เอื้อต่อการทำธุรกิจได้ที่เอกธนกิจควักเนื้อเพียง 300 กว่าล้านบาทตอนเพิ่มทุนก่อนเข้าไปบริหารกิจการ แต่เงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากการรับซื้อหุ้นเพิ่มทุนและสิทธิซื้อหุ้นทางการ ก็ใช้วิธีค้างยอดจ่ายอีก 5 ปีข้างหน้าพร้อมดอกเบี้ยแค่ 8% ซึ่งถูกมาก วิธีนี้เรียกว่าซื้อกันด้วยกระดาษซึ่งเป็นวิถีสากลทางการเงินที่ยอมรับกัน ปิ่นแก้ปัญหาเคลียร์หนี้สินที่มีปัญหา หาบริษัทมาซื้อหลักทรัพย์ที่ดินเอาไปพัฒนา ทำให้บริษัทฐานะดีขึ้น เพราะไม่ต้องรับภาระทรัพย์สินที่ไม่ก่อรายได้ ผลประกอบการใหม่ก็จะมีกำไร จากนั้นเพิ่มทุนนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ และได้กำไรจากส่วนเกินมูลค่าหุ้นอีกมหาศาล

ปี 2535 ร่วมกับพันธมิตรกลุ่มยังเติร์ก เช่น อนันต์ อัศวโภคิน แห่งแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธาตรี บุญดีเจริญจากยูนิเวสท์กรุ๊ปเข้าถือหุ้นแบงก์เอเชียรวมกัน 5 กลุ่ม จนเป็นที่หวาดระแวงและถูกต่อต้านจากกลุ่มเดิมคือตระกูลเอื้อชูเกียรต ิและภัทรประสิทธิ์ทำให้ปิ่นไม่ประสบความสำเร็จที่จะซินเนอยี่กับแบงก์เอเชีย

ปลายปี 2538 ร่วมลงทุน เอกธนกิจถือหุ้น 20% ในแบงก์ไทยทนุซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดสู่ฐานะนายแบงก์ของปิ่น งานนี้คุณหญิงชัชนี จาติกวณิชเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของดีลประวัติศาสตร์นี้ ที่ทำให้สองปีที่ปิ่นแอบปิดลับเจรจากับพรสนองจบลงได้ด้วยการผนึกกิจการแบบฉันมิตร มิใช่แบบปรปักษ์เหมือนสุระจันทร์ทำกับสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์จนพ่ายแพ้กระอักเลือด

จะอย่างไรก็ตาม ก็ยอมรับว่ากรณีการเทกโอเวอร์ข้างต้นนั้นได้สะท้อนให้เห็นว่า สุระจันทร์และปิ่น ต่างเป็นนักธุรกิจที่มีความรู้สึกไวต่อช่องทางทางธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมธุรกิจที่เกี่ยวพันกับเงิน ๆ ทอง ๆ เพียงแต่ถ้าสุระเกิดช้ากว่านี้ คงเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับปิ่น

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us