Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2539
"ปิ่น จักกะพาก โลกสีเงินที่กำลังสดใส"             
โดย สุปราณี คงนิรันดรสุข
 


   
search resources

ปิ่น จักกะพาก




ความสำเร็จของ "ปิ่น จักกะพาก" ในวันนี้คืออะไร? ว่ากันว่าที่สำคัญคือ "ความรู้" ทางการเงินที่เขามีประสบการณ์จากต่างประเทศและสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างเป็นประโยชน์ ขณะที่หลายคนมองว่าเขาเป็น "พ่อมดการเงิน" ที่เล่นเกมการเงินอย่างซับซ้อนเท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่งมองว่าเขาเป็นคนรุ่นใหม่เพียงคนเดียวที่กล้าแกร่งพอจะทลายการผูกขาดของสถาบันเก่าแก่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร วันนี้ปิ่นกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้โลกธุรกิจการเงินพลิกโฉมครั้งใหญ่ !

จุดเริ่มต้นของ "ปิ่น จักกะพาก" ที่มักกล่าวอย่างถ่อมตัวเสมอว่า ไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่าคนไทยสองคนคือปิ่นและเติมชัย ภิญญาวัฒน์ทำงานที่เดียวกันที่ธนาคารเชส แมนฮัตตัน ซึ่งมีข้อจำกัดในการทำธุรกิจในฐานะแบงก์ฝรั่ง เกิดคุยกันถูกคอและคิดทอฝันแบบคนหนุ่มไฟแรงหัวก้าวหน้าว่า ทั้งคู่น่าจะทำบริษัทเงินทุนไทยสไตล์ฝรั่งโดยนำเอาความรู้จากการทำงานที่แบงก์ฝรั่งมาบริหารแบบไร้ขีดจำกัด

"เรารู้เรื่องบัญชีและตัวเลขแบบอเมริกันได้ดี และเราก็ปรับมันเข้ากับระเบียบแบบไทยจะยอมอนุญาตให้" ปิ่นให้สัมภาษณ์นิตยสาร INSTITUTIONAL INVESTOR เมื่อสามปีก่อน

ประสบการณ์ศึกษาในสหรัฐอเมริกาและการทำงานในเชสแมนฮัตตันแบงก์ได้สร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นในตัวปิ่น นับจากปี 2521 ที่ปิ่นได้ถูกเชสฯ ส่งให้เข้ามาเคลียร์ปัญหาใน บงล. ศรีมิตร และได้ผกผันให้เขาเป็นแกนนำเพื่อทำ MANAGEMENT BUYOUT (MBO) ด้วยเงินห้าแสนเหรียฐสหรัฐ จากนั้นก็อำลาเชสฯ

ในปี 2523 คลื่นลูกใหม่อย่างปิ่นและเติมชัยได้ลาออกเข้ามาบริหารงานบริษัทยิบอินซอยเงินทุนและค้าหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจการเงินของครอบครัวจูตระกูลสายทางมารดาของปิ่นเอง บริษัทยิบอินซอยก่อตั้งบริษัทตั้งแต่ปี 2513 ตั้งอยู่ที่ถนนมหาพฤฒารามอันเป็นย่านธุรกิจเก่าแก่มีพนักงานทำงานกันนับได้ 3 คน โดยมีวิสุทธิ์ จินดาพลเป็นผู้จัดการ

"ยุคนั้นผู้บริหารสถาบันการเงินส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่เติบโตมากับสถาบัน ในเรื่องของการวางแผนก็ไม่มีอะไรมากเพียงแต่เราจะดูธุรกิจล่วงหน้า 2-3 ปี วางแผนโดยหาทุน หาธุรกิจและหาคนมาใส่" ปิ่นเล่าให้ฟังเมื่อหวนรำลึกถึงบรรยากาศบนโต๊ะทำงานทรงเชกโกแบบเก่า ๆ

สิ่งที่ปิ่นทำในปีแรกที่บริหารคือขยายงานโดยเพิ่มเสริมทีมงานตามฐานธุรกิจที่ขยาย จนครั้งหนึ่งเอกธนกิจในอดีตได้ชื่อว่าเป็นที่รวมของศิษย์เก่าแบงก์เชส แมนฮัตตันมากที่สุดแห่งหนึ่ง ที่สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างจากบริษัทเงินทุนอื่น ๆ ตรงที่มีเป้าหมายและทิศทางแตกต่างชัดเจนในเรื่องธุรกิจวาณิชธนกิจหรืออินเวสแมนต์แบงกิงแต่แรกเริ่มที่ปิ่นเข้าทำงานตั้งแต่ปี 2531

สำราญ กนกวัฒนาวรรณ คือหนึ่งในลูกหม้อเก่ารุ่นที่เรียกตัวเองว่า "รุ่นยิบฟินวัน" ขณะที่สำราญเป็นกรรรมการผู้จัดการฟินวันที่ดูแลสายเครดิตและมาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป

"ผมเข้าร่วมกับคุณปิ่นในปี 1981 หลังคุณปิ่นและคุณเติมชัยเข้ามาแล้ว 6 เดือนตอนนั้นออฟฟิศยังอยู่ที่มหาพฤฒาราม โต๊ะเก้าอี้เป็นรุ่นเก่าแบบเชกโก มีสตาฟประมาณ 10 กว่าคน หลังจากนั้นไม่นานก็ย้ายมาอาคารสิริภิญโญ ในช่วงแรกบริษัทใช้เนื้อที่ชั้นล่างชั้นเดียว ลักษณะบริษัทเล็ก ๆ สังคมอายุไม่ต่างกันนัก มีเอกภาพในการทำงานเป็นทีม หลังเลิกงาน รู้จักกันจนถึงชีวิตส่วนตัวสนิทสนมกัน และพึ่งพาอาศัยกัน อย่างปีหนึ่งจะมีปิกนิกครั้งหนึ่ง ก็พาครอบครัวไปกันทำให้ใกล้ชิดกัน" สำราญเล่าให้ฟัง เรียกว่าคนน้อยแค่ 10 คนเลี้ยงโต๊ะจีนก็พอดีหนึ่งโต๊ะ

ด้วยประสิทธิภาพของทีมงาน ในระยะเวลา 15 ปี ก็สามารถเขย่าธุรกิจการเงินด้วยพลังคนหนุ่มสาวที่ก้าวร้าวและรังสรรค์ พลิกฟื้นฐานะบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จากต่ำเพียงดินกลายเป็นดาวรุ่งจรัสแสงในฟากฟ้าการเงิน

ปมเด่นในชีวิตของปิ่น จักกะพากนั้นเริ่มต้นมาจากกำเนิดเป็นลูกโทนในชาติตระกูลที่เก่าแก่ และร่ำรวย ทางสายมารดาคือ "จูตระกูล" เจ้าของ "ยิบอินซอย" ที่โยงกับสายไทคูนเก่าแก่อย่างล่ำซำแห่งแบงก์กสิกรไทย โดยปู่ของปิ่นเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งแบงก์แห่งนี้

กลุ่มจูตระกูลที่เกี่ยวพันทางสายเลือดกับตระกูลล่ำซำ กลุ่มยิบอินซอยและกลุ่มลายเลิศนั้นในยุคบรรพบุรุษ เลนำคินซึ่งเป็นทวดของปิ่นคือผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของไทย ทำให้บริษัทเงินทุนยิบอินซอยมีสาขาในภาคใต้หลายจังหวัด เนื่องจากเชื่อมโยงกับธุรกิจเหมืองแร่

ส่วนสายทางบิดา ประภาส จักกะพาก อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่สมัยหนึ่งเคยดูแลผลประโยชน์โรงเหล้าแม่โขง จนมีบารมีเป็นที่นับถือของนายแบงก์หลายตระกูล ในการประนีประนอมศึกชิงแบงก์ระหว่างกลุ่มชลวิจารณ์ อดีตปลัดฯ ประภาสถูกร้องขอให้เป็นประธานกรรมการธนาคารสหธนาคารจนถึงปัจจุบัน

นุกูล ประจวบเหมาะ ก็เป็นหนึ่งในเพื่อนเก่าของประภาสที่ให้ความเมตตาต่อหลานปิ่นเสมอ เมื่อนุกูลไปนั่งแบงก์เอเชียก็ได้นำแบงก์เอเชียเข้าถือหุ้นร่วมซื้อ บริษัทหลักทรัพย์ ศรีไทย ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทหลักทรัพย์ เอกเอเชียในปี 2530

ส่วนภรรยาของปิ่นที่ชื่อ เกษมพรรณก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับกรณ์ จาติกวณิช บุตรชายไกรศรี แห่งเจ.เอฟ. ธนาคม ซึ่งแต่เดิมกรณ์เคยเข้ามาเรียนรู้งานและช่วยภควัต โกวิทพัฒน์พงษ์ทำงานอยู่ที่ บล. เอกธำรง

รากฐานสายสัมพันธ์ในตระกูลเก่าแก่และร่ำรวยจากรุ่นพ่อตกมาถึงรุ่นลูก ได้นำมาซึ่งความเกื้อหนุนทางธุรกิจของปิ่น เมื่อครั้งใหม่ ๆ ที่ปิ่นเข้าไปบริหารบริษัทเงินทุนยิบอินซอยเงินทุน แล้วเพิ่มทุนขยายฐานธุรกิจให้มั่นคงกว่าเดิม กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เข้ามาในปี 2527 นั้นก็คือ ถนัด คอมันตร์และครอบครัว ชุมพล พรประภาและครอบครัว บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์และพลศักดิ์ บุญทรงษีกุล

"เราต้องการอาวุธและเสื้อเกราะระหว่างที่กำลังสร้างโอกาสเพื่อปกป้องให้พ้นปัญหา จะได้ไม่ถูกกล่าวร้ายอย่างไม่คาดหมาย" ปิ่นกล่าวปกป้องตัวเองเมื่อครั้งภาพพจน์นักเทกโอเวอร์ของเขาถูกมองไปอย่างติดลบ

สายสัมพันธ์ตระกูลเก่าแก่ทางมารดาระหว่าง จักกะพาก-จูตระกูล-ล่ำซำ-ตู้จินดา ได้ทำให้ปิ่นทำงานได้สะดวกขึ้นเมื่อตอนที่เข้าเจรจาซื้อหุ้น 20% ของธนาคารไทยทนุ ปิ่นกับพรสนอง ตู้จินดารู้จักกันไม่ต่ำกว่า 5-6 ปี ต่างก็รู้จักผู้ใหญ่ของแต่ละตระกูลได้ดี เพราะตระกูลตู้จินดาเป็นเพื่อนบ้านสนิทกับเกษมและคุณหญิงชัชนี จาติกวณิช โดยเฉพาะพรสนอง จะเคารพรักผู้มีพระคุณอย่างคุณหญิงชัชนี จาติกวณิช ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของเอกธนกิจและเป็นประธานในเครือเอกธนกิจ

นอกจากนี้ปิ่นกับพรสนองต่างก็ซื้อคอนโดมิเนียมพักผ่อนริมหาดหัวหินของจูตระกูลที่ชื่อ "บ้านไข่มุก" ไว้อีกคนละชั้นยิ่งทำให้การพูดคุยเจรจาใกล้ชิดกันมากขึ้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปสองปี จึงมีการแถลงข่าวใหญ่ต้นปีนี้ถึงการผนึกกำลังกันระหว่าง สองสถาบันที่มีทรัพย์สินรวมกันนับสองแสนล้านบาทที่ถือเป็นดีลประวัติศาสตร์ทางการเงินทีเดียว

ฐานดั้งเดิมที่อิงกับจูตระกูลและล่ำซำทำให้สถานที่สำนักงานใหญ่ของปิ่นจะตั้งอยู่บนที่ดินมรดกเก่าแก่ของตระกูล เช่นในปี 2524 ปิ่นย้ายสำนักงานใหญ่ มาอยู่ที่ตึกเรียนโรงเรียนสิริภิญโญอาคาร 6 ชั้นบนถนนศรีอยุธยา ที่ปัจจุบันเป็นอาคารสิริภิญโญของจูตระกูล ตกแต่งตามสไตล์ยิปฟินคือสีน้ำตาลทอง

วิถีชีวิตปิ่นที่เกิดและเติบโตทำงานในต่างประเทศทำให้โลกทัศน์ของปิ่นกว้างไกล และส่วนใหญ่ปิ่นจะคิดลงทุนแบบ "คนเอเชียในต่างประเทศ" มากกว่า "คนไทย" ปิ่นเกิดที่รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นทำงานเป็นมืออาชีพอยู่ที่ธนาคารเชสแมนฮัตตัน 7 ปีประจำที่ฮ่องกงและเมืองไทย จนครั้งสุดท้ายเป็น SECOND VICE PRESIDENT ที่เมืองไทยหนึ่งปีก่อนจะลาออกมาทำงานให้ครอบครัว

แรก ๆ ที่ปรับตัวอยู่เมืองไทยปิ่นและครอบครัวชอบพำนักอาศัยในคอนโดมิเนียมที่ดีเยี่ยมย่านสุขุมวิท เนื่องจากยังติดอยู่กับวัฒนธรรมแบบอเมริกัน ต่อมาได้ย้ายไปซื้อบ้านหลังใหญ่

ปิ่นระดมมืออาชีพที่เป็นศิษย์เก่าเชสแมนฮัตตันแบงก์มาร่วมงานด้วย และเพิ่มทุนให้คนนอกเข้ามาถือ ในปี 2527 ปิ่นปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ไม่มีชื่อยิบอินซอยปรากฏในบัญชีผู้ถือหุ้นใหญ่แล้ว ปิ่นนำเอาแบงก์พาริบาส์ ประเทศฝรั่งเศสมาร่วมด้วยเช่น ดร. ถนัด คอมันตร์และครอบครัว ชุมพล พรประภาและครอบครัว บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี)

ภาพพจน์อันทันสมัยที่นำความคิดจากแบงก์ฝรั่งมาปรับใช้ กับเอกธนกิจเริ่มต้นในปี 2527 จากคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ตั้งอยู่หน้าห้องปิ่นที่โต๊ะเลขาคือ เพ็ญพรรณ วิสุทธิ ณ อยุธยาหรือพี่จิ๊ดที่ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการแผนก คอร์ปอเรทเซอร์วิส การใช้เครื่องบันทึกการ์ดบัญชียี่ห้อเอ็นซีอาร์ที่มีเสียงสนั่นเลื่อนลั่น ในปี 2526 ถือว่าเป็นของใหม่ที่นำเอามาใช้ในระบบเงินฝากที่เปลี่ยนจากระบบมือ นี่คือสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดหนึ่งที่ปิ่นนำเอาประสบการณ์จากทำเชสฯ มาใช้

ปิ่นจับหัวใจทีมงานคนหนุ่มสาวได้ด้วยพลังอันเร้าใจ ปี 2530 ปิ่นจัดให้มีการประกวดตั้งชื่อให้รางวัลห้าพันบาท เปลี่ยนชื่อจากยิบอินซอยเป็น "เอกธนกิจ" หรือเรียกย่อ ๆ ว่า "ฟินวัน" ดังนั้นภายใต้ชื่อใหม่วัฒนธรรมองค์กรของฟินวันจึงเป็นไปตามผู้นำอย่างปิ่น จักกะพาก คือเน้นความทันสมัย ฉับไวต่อการเปลี่ยนแปลงและมืออาชีพในการแข่งขัน

ในสิบปีแรก ธุรกิจเงินทุนยิบอินซอยคือธุรกิจการค้าชนิดหนึ่งเกี่ยวกับการเงินตอนนั้นก็รับเงินฝาก ปล่อยเงินกู้ ธุรกิจมันก็โตด้วยตัวมันเองค่อนข้างจะเร็วเกือบทุกปี โตในแง่สินทรัพย์ แต่กำไรไม่โตเป็นเรื่องเป็นราว จนกระทั่งประมาณปี 2530 ซึ่งปีนั้นถ้าจำไม่ผิด มีกำไรจาก 3 ล้านเป็น 16 ล้านจากนั้นก็เพิ่มทุกปีเป็น 60 ล้าน แล้วก็ 250 ล้านบาท วิธีการทำงานของเอกธนกิจที่ผิดแผกไปจากสถาบันการเงินไทยในช่วงนั้นคือปิ่นและทีมงานมีวิสัยทัศน์ที่มองระยะยาวกว่าชาวบ้าน

"ผมจำได้ในช่วงปีแรก ๆ ที่มาทำงานที่นี่ก็รับเงินฝากจากเพื่อนฝูงแล้วก็ปล่อยเงินกู้แก่ลูกค้าที่เคยรู้จักสมัยอยู่เชสฯ ความจริงสู้แบงก์ฝรั่งไม่ได้แต่อย่างน้อยก็อาศัยว่าเป็นคนเคยรู้จักก็ช่วยใช้บริการของเรา จุดเริ่มต้นสร้างจากตรงนั้น เราสร้างจากสินทรัพย์คุณภาพดีตามที่เราทำได้ในช่วงนั้นซึ่งเป็นช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีมาเรื่อย ๆ ผมจำได้ขนาดผู้ตรวจสอบจากแบงก์ชาติเข้ามาตรวจสอบเสร็จเขาก็ถามว่า เรามีอะไรซ่อนเร้นอยู่หรือเปล่า? เพราะเขาบอกว่าทุกอย่างค่อนข้างจะดีมาก เราก็บอกว่าเราไม่มีอะไร หลังจากนั้นเขาก็มักจะถามต่อว่าถ้าคุณทำดีแค่นี้เมื่อไรจะกำไร เราก็หวังว่าถ้าสร้างมันใหญ่พอมันก็จะกำไร ไม่ได้มีอะไรพิเศษนอกจากสิ่งที่เราเรียนรู้ตอนอยู่เชสฯ"

บุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตัวที่ปิ่นแสดงออก ทำให้อดนึกถึงภูมิหลังด้านครอบครัวในฐานะลูกโทนคนเดียวของประภาส จักกะพาก อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกิดและเติบโตในสหรัฐอเมริกา รัฐอิลลินอยส์ ร่ำเรียนจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ปิ่นรักกีฬาความเร็วเช่นรถแรง ๆ อย่างเฟอร์รารี่ เป็นนักธุรกิจที่ผูกพันกับครอบครัว ทุกปีปิ่นจะลาพักร้อนช่วงเดือนมีนาคมเกือบทั้งเดือนเพื่อครอบครัวไปพักผ่อนและเล่นสกีในต่างประเทศ ลูกทุกคนได้รับการศึกษาดี คนเล็กเรียนอยู่สาธิตจุฬาฯ ขณะที่อีกสองคนศึกษาอยู่ในสหรัฐฯ

ในความเป็นพ่อ ปิ่นคือต้นแบบของลูกๆ แต่ในฐานะผลิตผลของสังคมปิ่นเป็นแบบฉบับของนักธุรกิจดาวรุ่งที่ประสบความสำเร็จ เป็นผู้รักความก้าวหน้าและนิยมชมชอบการเปลี่ยนแปลง ล่าสุดคำขวัญที่ปิ่นเขียนส่งความสุขให้กับพนักงานเอกธนกิจเป็นภาษาอังกฤษว่า

"CHANGE IS NEVER EASY-THE NATIVE HAS ALWAYS BEEN THE SAME PROGRESS"

"แม้ว่าเราจะก้าวมาถึงจุดที่เราสบายใจที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นสถาบันการเงินเราก็คง CONTINUE TO CHANGE TO MEET THE CHALLENGE" นี่คือที่มาของคำมั่นสัญญาของคนชื่อปิ่น

"ถ้าถามผมว่า ผมพอใจกับเอกธนกิจไหม?…NO ! ผมไม่มีวันพอใจ คือถ้าถึงวันที่พอใจในธุรกิจ คณะกรรมการก็ควรจะหาผู้บริหารใหม่ เพราะวันนั้นก็จะเป็นวันที่องค์กรหยุดโต โดยลักษณะองค์กรหยุดโตเมื่อไร RETURN ของผู้ถือหุ้นจะตก"

"ในขณะเดียวกันสำหรับผมก็ยังเป็นเรื่องที่สนุก มันเหมือนเล่นกีฬาหมากรุก CHESS คือคุณต้องสามารถคิดก้าวต่อไปก่อนคู่แข่งขัน ก็มีอยู่แค่นั้น ตราบใดที่คุณยังคิดออก คุณก็ยังสนุกและอยากทำต่อไป" นี่คือสไตล์การทำงานของปิ่นที่ยังมีไฟ

ตลอดระยะเวลา 26 ปี ปิ่นไม่เคยหยุดนิ่ง พลังความคิดของทีมงานของเขาได้ผลักดันให้เกิดพลวัตการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงในอดีตที่มีเกิดขึ้นสามอย่างคือ การเติบโตของธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงของคน และการเปลี่ยนแปลงบริการที่ตลาดต้องการ

แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ผลกระทบจากโลกานุวัตรที่กระทบการเปิดเสรีทางการเงินมากขึ้น ทางการผ่อนคลายกฎระเบียบข้อบังคับข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น สมัยก่อนดอกเบี้ยมีเพดาน ต่อมาก็ปล่อยให้ดอกเบี้ยลอยตัว โครงสร้างสถาบันการเงินเปลี่ยน มีบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากและบริษัทชนิดใหม่ก็เข้ามา

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ที่ปิ่นคิดว่าภาคเอกชนน่าจะเข้าไปมีส่วนได้ให้คำแนะนำปรึกษาในการทำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน แต่เขาผิดหวัง

"โดยส่วนตัวผมเห็นว่าเป็นแผนที่ทางการต้องการให้เกิดขึ้นในแง่ทางการอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงทิศทางของธุรกิจซึ่งผมเคยพูดว่าผมผิดหวัง ที่ระหว่างที่ทำแผนแม่บทนี้ ทางการไม่ได้นำเอาเอกชนเข้าไปปรึกษาด้วย และนั่นคือสาเหตุที่สี่ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงน่าจะเกิดมากขึ้น"

เมื่อสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของผู้นำอย่างปิ่นต้องกว้างไกลเพื่อรักษาตำแหน่งแชมป์ให้ดำรงสภาพอยู่ได้ปิ่นได้ว่าจ้าง BOOZ ALLEN&HAMILTON PROJECT เข้ามาทำการวางแผนใหม่ให้ เพื่อช่วยเป็นกล้องส่องทางไกลวิเคราะห์ว่าในอนาคตโลกจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเอกธนกิจควรจะพัฒนาตัวเองไปทางไหน

ดังนั้นปิ่นจึงถือว่าข้อมูลคืออำนาจที่แท้จริง ที่ทำให้วันนี้ปิ่นผงาดฟ้าเป็น "เอกธนราชันย์แห่งไฟแนนซ์" ผมไม่ได้เรียนหนังสือทางด้านการเงินมา ผมเคยพูดว่าบริษัทไฟแนนซ์ นี่คุณทำดีแค่ไหนก็ตาม พอเดินเข้าไปในสังคมไทย สองคนเดินมา...คนหนึ่งเป็นนายแบงก์ อีกคนทำบริษัทไฟแนนซ์ที่แม้ว่าจะ SUCCESSFUL แค่ไหนก็ตาม ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักแต่ทุกวันนี้ผมเดินเข้าไปในสังคมที่ไหนก็ได้คนก็รู้จักผมและในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 10 บริษัทไฟแนนซ์ที่ใหญ่ที่สุดก็พิสูจน์แล้วว่าโตเร็วกว่าแบงก์เล็กอีกหลายแบงก์" ปิ่นเล่าให้ฟังอย่างภูมิใจในความเป็นราชาเงินทุน

ปัจจุบันหากภาพ "สองคนเดินมา" หมายถึง "ปิ่น" กับ "ตั้ว" เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ ไม่ต้องสงสัยว่าใครคือผู้ยิ่งใหญ่กว่ากัน เพราะวัดกันที่วิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจการเงินของสองหนุ่มนี้พุ่งไปคนละทาง ปิ่นพุ่งขึ้นสู่ที่สูงในฐานะนายแบงก์ "ดาวรุ่ง" คนใหม่ที่ก้าวรุกเข้าไปเป็นกรรมการบริหารธนาคารไทยทนุเพราะเอกธนกิจถือหุ้น 20% ขณะที่ตั้วกำลังกลายเป็น "ดาวร่วง" ที่พุ่งลงดิน จากปัญหากดดันอย่างรุนแรงจากทางการให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ

"เอกธนกิจ" หรือ "ฟินวัน" กลายเป็นกลุ่มทรงอิทธิพลกลุ่มใหม่ในตลาดเงินตลาดทุนที่โตเร็วมาก ๆ ใน 16 ปีที่ปิ่น บริหาร จากจุดเริ่มต้นของบริษัทเงินทุนเล็กมาก ๆ ชื่อ "ยิบอินซอยเงินทุนและค้าหลักทรัพย์" ที่ตั้งปี 2513 ทำอยู่สิบปีมีสินทรัพย์ รวมแค่ 167 ล้านบาท แต่พอปิ่นเข้าไปบริหารใน 15 ปีต่อมา เอกธนกิจกลายเป็นบริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งที่มีขนาดสินทรัพย์ เท่าแบงก์ขนาดกลางคือ 97,075 ล้านบาท (ณ สิ้นปี 2538) แต่ถ้ารวมบริษัทในเครือเอกธนกิจอีก 19 แห่งสินทรัพย์กลุ่มเอกอาณาจักรจะมีมูลค่ามหาศาลนับ 130,873 ล้านบาท

การแจ้งเกิดดของปิ่นในฐานะนายแบงก์ใหม่นั้นเป็นที่จับตาของมิตรและศัตรู เพราะบทบาทอันทรงอิทธิพลในอนาคตของปิ่นย่อมสูงขึ้น เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ที่จะทำให้ทั้งตลาดเงินและตลาดทุน สั่นสะเทือน ให้แบงก์ขนาดเล็กต้องทบทวนตัวเองว่าจะถูกเบียดตกเวทีแข่งขันหรือไม่หากไม่หาพันธมิตรที่แข็งแรงร่วมกัน?

สำหรับแบงก์มหานคร อุทัย อัครพัฒนากูล เอ็มดี กล่าวว่าไม่จำเป็นขณะนี้ ขณะที่แบงก์นครธน ไทยทนุ หวั่งหลีเริ่มมีการเจรจาหาพันธมิตรที่เป็นสถาบันการเงินต่างประเทศและในประเทศเข้าร่วมถือหุ้นประมาณ 10-15%

ปรากฎการณ์ธุรกิจที่ปิ่นจะสร้างหลังเป็นยูนิเวอร์แซลแบงกิ้ง คือการควบกิจการภายในกลุ่มเอกธนกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเอกธนกิจโบรกเกอร์ถึง 5 แห่งที่ทรงอิทธิพลในอนาคต อีก 5 ปี ยุทธศาสตร์การเติบโตของแบงก์ไทยทนุขยายตัวออกไปมาก อาจจะต้องเพิ่มทุนจากปัจจุบัน 1,210 ล้านบาท และอีกครั้งที่หุ้นไทยทนุอาจจะกลายเป็นหุ้นทรงอิทธิพลอีกตัวตามสไตล์สร้างมูลค่าแบบหุ้นตระกูลเอก ซึ่งมี 5 บริษัทได้แก่ บล. เอกธำรง บล. เอกธนา บล. เอกเอเซีย บล. เจ.เอฟ.ธนาคม และบงล. เอกสินที่ครองส่วนแบ่งตลาดไม่ต่ำกว่า 30% ทำให้กลุ่มเอกธนกิจได้เข้าเป็นกรรมการตลาดหุ้นไทยที่มีส่วนกำหนดนโยบาย

ภาพพจน์ของปิ่น จักกะพาก แบบ "ราชาเงินทุน" ที่ทรงอิทธิพลในตลาดหุ้นได้กลายเป็นเป้าหมายสร้างข่าวลือหาประโยชน์ดังเช่นเมื่อต้นปี 2537 ที่ปิ่นและเติมชัยหงุดหงิดกับกระบวนการปล่อยข่าวลือว่าปิ่น ถูก ก.ล.ต. จับ กรณีปั่นหุ้น ข่าวลือนี้ฉุดดัชนีตกต่ำถึง 104 จุด และผู้ที่ได้ประโยชน์คือคนที่เทขายหุ้นในขณะที่ดัชนีอยู่ที่ 1,700 จุดนั่นเอง

ดังนั้นไม่ว่าหุ้นตระกูลเอกจะมีการเพิ่มหรือลดราคาหุ้น ปิ่นล้วนหงุดหงิดกับข่าวลือ แต่ก็ต้องทำใจ และคอยทำจดหมายชี้แจงตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. ร่ำไป ดังเช่นกรณีมติเพิ่มทุนเอกธนกิจ 3.76 พันล้านขณะนั้น ที่ส่วนจัดสรรหุ้นให้ประชาชนราคาหุ้นละ 450 บาทต่ำกว่าราคาตลาดขณะนั้นที่ยืนอยู่ 568 บาท ทำให้เกิดความปั่นป่วนหนัก

ภาพพจน์ปิ่นจึงติดลบเวลานั้น และเป็นบทเรียนครั้งต่อไป ที่ปิ่นหรือคนของปิ่นจะขยับทำอะไรใหม่ ๆ ที่แปลกใหม่สำหรับตลาดเงินไทย จะต้องให้ทีมพีอาร์มืออาชีพที่นำโดยชรัส เฟื่องอารมย์และสุภาณี เครือรัตนกุล จัดงานแถลงข่าวเช่นกรณีเอกธนกิจออกตราสารหนี้ตัวใหม่ที่เรียกว่า AMORTIZING DEBENTURE ให้กับโรงไฟฟ้าขนอม (KEGCO) กิติวลัย เจริญสมบัติอมร พร้อมทีมงานหนุ่มฝ่ายตลาดการเงินได้มาให้ความรู้เกี่ยวกับตราสารหนี้อันใหม่ด้วย

ถึงกระนั้นกระบวนการสร้างข่าวลือก็ทำให้ภาพพจน์ปิ่นติดลบบางครั้ง แต่ผู้ว่าแบงก์ชาติ วิจิตร สุพินิจ ก็ยังสนับสนุนให้หน่อธุรกิจการเงินใหม่อย่างเอกธนกิจได้เกิดและเติบโตใหญ่เป็นแบงก์พาณิชย์สำหรับคนรุ่นใหม่ หลายปัญหาอุปสรรคที่เป็นขีดจำกัดจึงถูกขจัดไปด้วยความร่วมมือระหว่างกัน ไม่ว่าเรื่องคลังและแบงก์ชาติเปิดไฟเขียวเป็นกรณีพิเศษแก่เอกธนกิจในการทำครอสโฮลดิ้งได้ถึง 30% และอนุมัติให้ไทยทนุรับปิ่นและเติมชัยเป็นกรรมการบริหารใหม่

ไทยทนุยุคปิ่นและเติมชัยเป็นกรรมการบริหาร จะประสบความสำเร็จหรือไม่? ยังเป็นที่น่าสงสัยถึงบทบาทที่เคยเป็นมาในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในเชิงกลยุทธ์การลงทุนแบบก้าวหน้า และปรับโครงสร้างธุรกิจแบบโตแล้วแตกอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการรุกก้าวในธุรกิจวาณิชธนกิจหรืออินเวสท์เมนท์แบงกิงที่ปิ่นได้รับรางวัล "MERCHANT BANKER OF THE YEAR 1991" จากนิตยสารเอเชียมันนี่แอนด์ไฟแนนซ์ (ฮ่องกง)

ล่าสุดปิ่นได้รับการลงมติให้เป็นประธานสมาคมบริษัทเงินทุนต่อไปเป็นสมัยที่สอง เพราะปิ่นกล้าคิดและกล้าพูดไม่เห็นด้วยกับแผนแม่บทการเงินสมัย รมว. คลัง ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ที่ขาดการปรึกษาภาคเอกชน ทั้ง ๆ ที่ภาคเอกชนได้รับผลกระทบจากแผนนี้โดยตรง

ปิ่นเป็นนักธุรกิจเชิงรุกคนแรกที่นำเอานักกฏหมายและนักบริหารธุรกิจการเงินมาสร้างวิศวกรรมทางการเงินที่เหนือเมฆ ทีมงานที่มีประสิทธิภาพประดุจมือขวามือซ้ายไม่ว่าจะเป็นเติมชัย ภิญญาวัฒน์ ภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประภัศร์ ศรีสัตยากุลและนักกฏหมายชื่อดังอย่าง ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร

ปิ่นกลายเป็นเอกธนราชันย์ไฟแนนซ์รุ่นใหม่ที่ทำแนวทางการลงทุน ผนวกสถาบันการเงินที่มีสินทรัพย์รวมกันไม่ต่ำกว่าสองแสนล้านหลัง จากที่เคยเป็นนักเทคโอเวอร์ที่สร้างอาณาจักรตระกูลเอกแล้วเตรียมตัวพร้อมสู้รบในทศวรรษ 2000

นี่คือที่มาของบารมีในนิยามใหม่ของ ปิ่น จักกะพาก ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเอกธนกิจให้เป็นบริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่ง จนกระทั่งผงาดเป็นคู่แข่งที่อาจหาญสู้อย่างทระนงกับนายแบงก์ตระกูลเก่าแก่ ที่เป็น CARTEL ผูกขาดระบบธนาคารกับเศรษฐกิจไทยได้ในทศวรรษนี้

"ผมคิดว่าการเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดก็เป็นปัญหาเหมือนกัน คือคุณต้องรักษาความเป็นบริษัทแนวหน้าอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน การเป็นบริษัทแนวหน้า ถ้าเราบอกว่าเรามีพอร์ตโฟลิโอที่ดีที่สุด มีทุนที่ดีที่สุด และมีบุคลากรที่ดีที่สุด ทั้งสามอย่างถ้ารวมกันกับการดูอนาคตที่ชัดกว่าคนอื่น เราก็จะสามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้แต่สิ่งที่เราจะพลาดได้ก็คือ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง เราดูอนาคตไม่ดีเท่าเขา แต่ถ้าเราดูอนาคตอย่างน้อยเท่ากับเขา และในปัจจุบันพื้นฐานเราดีกว่าเขา ยังไง ๆ เราก็ MAINTAIN COMPETITIVE POSITION ของเราไว้ได้" แรงผลักดันที่ปิ่นเล่านี้เป็นภารกิจหลักที่ปิ่นต้องรักษาผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว โดยพัฒนาธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นดีขึ้น และเสริมสร้างจุดแข็งให้แก่อาณาจักร

ดังนั้นนโยบาย แผนดำเนินงานระยะยาว 5 ปี นับเนื่องจากปี 2538 ที่เอกธนกิจครบรอบ 25 ปี จอมวางแผนอย่างปิ่นจึงกำหนดยุทธศาสตร์การเติบโตอย่างมีเป้าหมายชัดเจนที่จะก้าวไปสู่ยูนิเวอร์แซลแบงกิงให้ได้ เพื่อรองรับการขยายฐานธุรกิจในอนาคตของกลุ่มเอกธนกินที่จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีเครือข่ายแบงก์สนับสนุน

นี่คือคำตอบว่าทำไมปิ่นจึงต้องลงทุนในแบงก์ไม่ว่าแบงก์เอเชียหรือแบงก์ไทยทนุ? ปิ่นเคยอธิบายเหตุผลลึก ๆ ว่าเขาไม่ต้องการเป็นนายแบงก์แต่ต้องการลงทุนในช่องทางธุรกิจบริการทางการเงินของแบงก์ให้ครบวงจรเพื่อช่วงชิงโอกาสที่เปิด การที่บริษัทเงินทุนจะโตได้ก็ต้องเอาธุรกิจบางอย่างของแบงก์มาผนึกด้วย

การผนึกรวมระหว่างเอกธนกิจกับแบงก์เก่าอย่างไทยทนุที่มีอายุ 47 ปี สิ่งที่กลุ่มเอกธนกิจได้ทันทีก็คือ "สาขา" นับร้อยแห่ง โดยไม่ต้องเสียเวลารอใบอนุญาตแบงก์พาณิชย์ใหม่ที่เกิดและโตลำบากจากเงื่อนไขที่ปกป้องแบงก์เก่า หรือไม่ต้องเอาสำนักงานใหญ่ไปต่างจังหวัด และไม่ต้องลงทุนในสาขา

"ถ้าเปรียบเทียบโดยนำเงิน 7,500 ล้านบาทที่จะตั้งแบงก์ใหม่ ไปฝากแบงก์ภายใน 5 ปี จะได้ผลตอบแทน ซึ่งสูงกว่าการนำไปลงทุนจัดตั้งแบงก์ใหม่ถึงเท่าตัวซึ่งในจำนวนนี้มีบริษัทเงินทุนไม่กี่แห่งที่มีทุนจดทะเบียนสูงถึง 7,500 ล้านบาท ประกอบกับในปีหน้า หากแบงก์ต่างชาติเข้ามาตั้งสำนักงานบีไอบีเอฟสามปีก็ปรับเป็นธนาคารสาขาเต็มรูปแบบได้ ขณะที่คนไทยต้องลงทุนถึง 7,500 ล้านบาท ซึ่งทางการควรจะให้เท่าเทียมกัน" ปิ่นเปิดใจที่ถอนตัวออกจากการเป็นแกนนำยื่นขอตั้งแบงก์ใหม่ที่ร่วมกับกลุ่มอิตัลไทยฯ

ปิ่นเรียนลัดด้วยแผนเหนือเมฆด้วยวิธีการ "ต่อยอด" จากฐานเดิมของไทยทนุ หลังจากที่ดีดลูกคิดรางทองคำแล้วว่า

"การซื้อของเก่ามันเร็วกว่าทำของใหม่แน่นอน โดยเฉพาะกรณีแบงก์ บริษัทไฟแนนซ์ถ้าจะโตในอัตราที่โตต่อไปก็ควรจะเอาธุรกิจบางอย่างของแบงก์มาผนึกด้วย สิ่งหนึ่งที่แบงก์เก่าให้ทันทีคือ สาขา (DISTRIBUTION POINTS)" ปิ่นกล่าว

นอกจากนี้ ปิ่นยังมั่นใจที่จะตั้งเป้าปีนี้เอกธนกิจจะบุกสินเชื่อนำเข้า-ส่งออกและค้าเงินตราต่างประเทศ ซึ่งแบงก์ชาติอนุมัติหลังจากที่แบงก์ชาติเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาก บริการทางการทั้งสองอย่างนี้

ลูกค้าเอกธนกินที่จะทำเทรดไฟแนนซ์นำเข้าวัตถุดิบต้องทำทีอาร์หรือเปิดแอลซีสั่งของ และฟอเร็กซ์ก็จะได้รับความสะดวกแบบครบวงจรจากผลพวงควบกิจการ ขณะเดียวกันไทยทนุก็ทำให้เอกธนกิจตั้งหลักระบบงานได้เร็วกว่าคู่แข่งที่ต้องใช้เวลา 2-3 ปีกว่าจะตามทัน และในเรื่องการ CHECKING ACCOUNT กรณีโอนเงินลูกค้าและการเคลียริ่งเช็คที่รวดเร็วกว่าไม่ต้องข้ามวันเหมือนสมัยเป็นไฟแนนซ์

ขณะที่ผลประโยชน์ที่ฝ่ายแบงก์ไทยทนุจะได้จากการแต่งงานครั้งนี้คือ ผู้ถือหุ้นรวยขึ้น กิจการมีแหล่งเงินทุนที่ดี เพราะระดมทุนแบบก้าวกระโดดได้เงิน 4,200 ล้านบาทที่ส่งผลให้แบงก์ไทยทนุมีเงินกองทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาทและเพิ่มอำนาจในการปล่อยสินเชื่อได้กว่า 140,000 ล้านบาท และได้เสริมจุดแข็งด้านงานวาณิชธนกิจและคอร์ปอเรทไฟแนนซ์จากเอกธนกิจ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้สูงขึ้น

ดีลประวัติศาสตร์นี้ ธนาคารไทยทนุขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนถึง 24.2 ล้านบาท หรือประมาณ 20% ของทุนจดทะเบียนใหม่ 1,210 ล้านบาทให้กับเอกธนกิจ ในราคาหุ้นละ 140 บาทซึ่งทำให้ราคาหุ้นไทยทนุ (TDB) พุ่งขึ้นวันต่อมาราคาถูกเสนอซื้อในวันแรกหลังปลดป้าย 150 บาทและราคา สูงสุดถึง 198 บาท

"ผมเชื่อว่าถ้าหากมีการเช็กรายชื่อผู้ถือหุ้นกันใหม่ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว เพราะว่านักลงทุนจำนวนมากคงเข้ามาลงทุนตามเอกธนกิจกันมากเพราะ ชื่อเสียงของเอกธนกิจก็เป็นที่เชื่อถือกันดี และผู้ถือหุ้นเก่าของเราก็ถือมาในราคา 100 บาทกันมานานแล้ว อาจจะมีการขายทำกำไรกันบ้าง แต่คราวนี้ทุกคนในไทยทนุก็น่าจะได้ประโยชน์" พรสนองกล่าว

นับว่าเป็นโชคของปิ่นที่ทำงานหนักแล้วสมหวังที่ผนึกกับไทยทนุได้ แถมยังเลือกจังหวะเวลาในการประกาศได้อย่างเหมาะสมในช่วงปลายปีที่ก่อให้เกิดผลบวก ด้านราคาในช่วงต้นปีนี้ ที่สร้างความพอใจและมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้นไทยทนุ

ฐานเงินทุนที่ปิ่นจะนำมาซื้อหุ้นแบงก์ ไทยทนุ มาจากการเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพ (ECD) อายุ 5 ปีมีอัตราดอกเบี้ย 5-6% ที่มีต้นทุนเงินต่ำกว่าการกู้ยืมจากประชาชนที่ดอกเบี้ยสูง 11-12%

ตามแผนการระดมเม้ดเงินจำนวน 5 พันล้าน ปิ่นได้วางแผนจะออกหุ้นกู้แปลงสภาพ (ECD) ขายให้ต่างประเทศ 3 พันล้าน และในประเทศ 2 ล้าน งานนี้สองนายแบงก์ใหม่ของไทยทนุคือปิ่นและเติมชัย ภิญญาวัฒน์ตะลุยแดนยุโรปออกโรดโชว์ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยพรสนอง ตู้จินดา ร่วมเดินทางไปสร้างเครดิตแก่กลุ่มเอกธนกิจด้วย ซึ่งต่างกันกับคราวโรดโชว์ที่ไปฮ่องกง เพื่อระดมทุนเข้าถือหุ้นในแบงก์เอเชีย ปิ่นโดนนักลงทุนซักจนคอแห้ง

แต่พอเดือนมีนาคม เจอปัญหาภาวะตลาดซบเซาและอัตราดอกเบี้ยผันผวน จนทำให้เติมชัย ภิญญาวัฒน์ เอ็มดีคนเก่งของปิ่นต้องออกมาแถลงเลื่อนการขายหุ้นกู้แปลงสภาพที่จะขายในประเทศออกไปโดยยังไม่ยื่นข้อมูลการจัดจำหน่าย ECD แก่ ก.ล.ต.

อาณาจักรเอกธนกิจในยุคควบกิจการจะเพิ่มช่องทางขยายธุรกิจครบวงจรอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยอาศัยเครือข่ายของแบงก์ไทยทนุเป็นสปริงบอร์ด ขึ้นสู่เวทีแข่งขันระหว่างประเทศที่มีคู่แข่งเป็นสถาบันการเงินต่างประเทศ เป็นที่คาดว่าปิ่นจะเปลี่ยนแปลงแนวทางดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ โดยนำธุรกรรมและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ เข้ามาขยายส่วนแบ่งตลาดก่อนหน้าแบงก์พาณิชย์คู่แข่งหน้าใหม่ ที่จะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 5 รายตั้งแต่เดือนเมษายนนี้

ดังนั้นเส้นทางปิ่นในความใหญ่ที่ถอยไม่ได้ คือต้องเป็นนายแบงก์ชั้นนำ!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us