|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"วิวรรณ" ประเดิมเก้าอี้เอ็มดีบลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าดันเอ็นเอวีทั้งปีโต 10% เท่าอุตสาหกรรม ยึดตำแหน่งเบอร์หนึ่งธุรกิจกองทุนรวม เล็งคลอดกองทุนใหม่กว่า 10 กองทุน ทั้งตราสารหนี้-หุ้น-FIF-พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์-อนุพันธ์ มั่นใจกองทุนรวมยังโตต่อได้ แม้แบงก์พาณิชย์จะปรับดอกเบี้ยเงินฝาก
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตในธุรกิจจัดการกองทุนในปีนี้ไว้ที่ 10% จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2.13 แสนล้านบาทในปี 2548 ที่ผ่านมา ซึ่งอัตราการขยายตัวดังกล่าวเท่ากับอัตราการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมทั้งระบบที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 10% เช่นกัน โดยแผนการออกกองทุนในปีนี้ จะเน้นกองทุนที่มีความหลากหลายและกองทุนที่มีลักษณะพิเศษมากขึ้น ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ก็ยังให้ความสำคัญ เนื่องจากยังมีความต้องการจากลูกค้าค่อนข้างมากจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น
ทั้งนี้ เฉพาะกองทุนรวมตั้งเป้าการเติบโตประมาณ 15% จากกองทุนทั้งหมดที่จะออกในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีมากกว่า 10 กองทุน โดยจะเปิดขายกองทุนใหม่ทุกเดือน รวมถึงการนำกองทุนเก่าที่มีอยู่แล้วกลับมาทำการตลาดอีกครั้งด้วย ทั้งนี้ จะมีทั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่คาดว่าจะมีประมาณ 1-2 กอง และกองทุนที่อ้างอิงตลาดอนุพันธ์ด้วย
ส่วนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล ในปีนี้ตั้งเป้าเติบโตอีกประมาณ 6% จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในปี 48 ที่ 143.43 ล้านบาท ขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตั้งเป้าเติบโต 7% จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 34.897 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดขายกองทุนไปแล้วจำนวน 3 กองทุน โดยสามารถระดมทุนได้ประมาณ 13,650.09 ล้านบาท จากกองทุนเปิดรวงข้าวธนรัฐ 3/50 เอ กองทุนเปิดรวงข้าวธนรัฐ 3/50 บี และกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH)
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนเปิดกสิกรคืนกำไร 4/50 ที่กำลังอยู่ระหว่างการเสนอขายช่วงไอพีโอด้วย ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม - 3 เมษายนนี้ บริษัทจะเปิดขายกองทุนใหม่อีก 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดรวงข้าวธนรัฐ 10/49 มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุประมาณ 6 เดือนและกองทุนเปิดกสิกรคืนกำไร 5/50 มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท ที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเช่นกัน แต่จะมีอายุยาวขึ้นเป็น 1 ปี ซึ่งขณะนี้ ทั้ง 2 กองทุนกำลังอยู่ระหว่างการยื่นเสนอจัดตั้งกองทุนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น นางวิวรรณ กล่าวว่า ปัจจัยลบในขณะนี้ยังคงเป็นความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งในช่วงระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนบ้าง แต่ในระยะกลางถึงระยะยาว เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าเข้ามาลงทุน และยังเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยอยู่ โดยในส่วนผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็ยังขยายตัวถึงแม้อาจจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาก็ตาม
ส่วนเศรษฐกิจก็เชื่อว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 4-4.5% ในขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย หลังจากนี้ก็คงจะไม่ปรับขึ้นรุนแรงมากนักนางวิวรรณ กล่าวว่า สำหรับการขยายตัวของธุรกิจกองทุนรวมในปีนี้ เชื่อว่าจะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะมาจากกองทุนตราสารหนี้เป็นหลักเหมือนปีที่ผ่านมา ซึ่งการที่ธนาคารพาณิชย์เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเนื่องจากต้องการเงินฝากเพิ่มขึ้นนั้น มองว่าจะไม่กระทบต่อฐานลูกค้าของบริษัท เนื่องจากลงทุนในกองทุนรวมมีลักษณะเฉพาะตัวอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของภาษีที่ได้รับการลดหย่อน
"ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจกองทุนรวมชัดเจนมากขึ้น บลจ.ไหนที่มีแบงก์ช่วยหนุนก็เข้ามาส่งเสริมอย่างเต็มที่ ซึ่งเราเองก็พร้อมที่จะแข่งขันจากการมีธนาคารกสิกรไทยเป็นจุดขายหน่วยลงทุน พร้อมทั้งพยายามรักษาฐานลูกค้าเก่าและหาลูกค้าใหม่เข้ามาด้วย โดยในสิ้นปีนี้เราตั้งเป้าที่จะรักษาอันดับ 1 มาร์เก็ตแชร์กองทุนรวมเอาไว้"นางวิวรรณกล่าว
ส่วนการเข้ามาทำงานในบลจ.กสิกรไทย จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือไม่นั้น นางวิวรรณ มองว่า จากประสบการณ์การทำงานที่บลจ.วรรณ จะนำเข้ามาส่งเสริมการทำงานซึ่งกันและกันมากกว่า ซึ่งความต้องการคือ อยากให้ลูกค้ามีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายไม่ใช่เฉพาะการฝากเงินอย่างเดียว ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่อาจจะต้องเสริม รวมไปถึงการบริการลูกค้าที่จะขยายช่องทางการเข้าถึงให้มากขึ้น นอกเหนือจากช่องทางหลักผ่านธนาคารกสิกรไทยอย่างเดียว
|
|
|
|
|