Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน10 มีนาคม 2549
บึ้มหน้าบ้านป๋าถล่มหุ้น             
 


   
search resources

Stock Exchange
Political and Government




นักลงทุนตื่นเหตุบึ้มหน้าป้านป๋าเปรม ฉุดภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นักวิเคราะห์เตือนปัจจัยทางการเมืองยังจ้องถล่มตลาดหุ้น ขณะที่ผู้บริหารบลจ.กสิกรไทย หวั่นการชุมนุมประท้วงขับไล่นายกฯทรราช 14 มี.ค.ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกิดเหตุรุนแรง ฉุดดัชนีหลุด 700 จุด ขณะที่วานนี้ (9 มี.ค.) นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายสุทธิกว่า 687 ล้านบาท

ภาวะการซื้อขายหุ้นวานนี้ (9 มี.ค.) ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ในแดนบวก โดยดัชนีได้ปรับตัวขึ้นมาสูงสุดในช่วงเช้าอยู่ที่ระดับ 732.60 จุดต่อมาในช่วงบ่ายได้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาหลังจากที่ได้เกิดระเบิดที่บริเวณป้อมยามบ้านสี่เสาเทเวศน์ จนทำให้ดัชนีอ่อนตัวลงและมาที่ระดับต่ำสุดที่ระดับ 721.12 จุดต่อมาได้มีแรงซื้อเข้ามาทำให้ดัชนีกระเตื้องขึ้นและมาปิดที่ระดับ 728.99 จุด เพิ่มขึ้น 5.13 จุดหรือ 0.71% มูลค่าการซื้อขาย 13,043.19 ล้านบาท

การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่านักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 687.74 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 280.57 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 968.31 ล้านบาท

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัททีเอสอีซี จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดวานนี้ (9 มี.ค.) มีการปรับตัวเพิ่มเนื่องจากเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากที่ผ่านมาดัชนีมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าการเคลื่อนไหวของดัชนีนั้นไม่เป็นปกติตามเศรษฐกิจ และกลไกของตลาด ซึ่งนักลงทุนยังคงกล้าๆ กลัวๆ ในการเข้ามาลงทุน ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีฯคือ ปัจจัยทางการเมือง และพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ

ส่วนการระเบิดบริเวณป้อมยามบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีนั้น ตลาดไม่ได้ตกใจมากนัก เพราะ ที่ผ่านมาตลาดได้รับรู้ข่าวร้ายต่างๆจำนวนมากแล้ว

สำหรับแนวโน้มดัชนีฯวันนี้ นั้น ซึ่งตามเทคนิคแล้วดัชนีฯ มีโอกาสที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 737 จุด ซึ่งที่ผ่านมาวันศุกร์ดัชนีฯจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมองแนวรับที่ระดับ 723 จุด แนวต้านที่ระดับ 735-737 จุด

นายสุกิจ อุดมสิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นฟื้นตัวตามตลาดภูมิภาค โดยเฉพาะจากการที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน ส่งผลหุ้นขึ้นกว่า 400 จุด และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอยู่ที่ประมาณ 39.11 บาท ทำให้ตลาดหุ้นมีจุดสมดุลมากขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเช้า เนื่องจากการเกิดระเบิดที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ถนนศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบ้านพักของ พล. อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ทำให้นักลงทุนตกใจ และมีการขายออกมาแต่ไม่มากนัก ซึ่งมองว่าเรื่องของการเมืองยังไม่ได้กระทบต่อภาวะตลาดในช่วงที่ผ่านมา 2-3 วันนี้ เป็นเรื่องของการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมากกว่า

โดยมองว่า การเมืองมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาด คือ ทำให้มูลค่าการซื้อขายที่น้อยลง นอกจากนี้ การที่ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นการปรับเพิ่มจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น ทำให้นักลงทุนกลับมาลงทุน รวมถึงแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศต่างๆ ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ส่งผลให้มีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ อย่าง แบงก์ เป็นหลัก

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (10 มี.ค.) ตลาดมีการปรับสมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะจากการที่ประเทศญี่ปุ่นเตรียมจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนเม.ย. นี้ ซึ่งปัจจัยหลักที่จะกระทบตลาดน้ำหนักจะกลับมาอยู่ที่ปัจัยภายในประเทศเป็นหลัก โดยประเมินแนวรับที่ 720 จุด แนวต้านที่ 733 จุด

**หวั่นชุมนุม14มี.ค.เกิดเหตุรุนแรง ฉุดดัชนีตลาดหุ้นดิ่งเหวหลุด700

นายอโศก วงศ์ชอุ่ม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.กสิกรไทย กล่าวถึงภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า การชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 14 มีนาคมนี้ หากมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย จะปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 700 จุด ซึ่งในช่วงที่สถานการณ์การเมืองมีความไม่แน่นอนเช่นนี้ บริษัทได้ปรับลดพอร์ตการลงทุน โดยหันมาถือเงินสดมากขึ้นหรือโยกไปลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานยังดีอยู่ ซึ่งถือเป็นการปรับลดพอร์ตการลงทุนตามปกติของบริษัทฯ ในช่วงที่เหตุการณ์ไม่แน่นอนโดยในการถือครองเงินสดนั้นจะไม่ให้เกินระดับ 5-10% ของพอร์ต

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบของบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ เนื่องจากประเมินว่าหากโครงการเหล่านี้ชะลอออกไปจากสถานการณ์ปัจจุบัน อาจทำให้บริษัทจดทะเบียนดังกล่าวได้รับผลกระทบ ซึ่งต้องยอมรับว่าจะทำให้ความน่าสนใจของบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ลดลงตามไปด้วย

สำหรับการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้คาดว่าส่วนหนึ่งจะเป็นการขายทำกำไรตามปกติ และบางส่วนอาจจะขายเพราะไม่มั่นใจสถานการณ์การเมืองในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายดัชนีปี 2549 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่า จะอยู่ที่ 820 จุด ภายใต้ P/E 10 เท่า ซึ่งถ้าหากปัญหาการเมืองยืดเยื้อและส่งผลกระทบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน และส่งผลให้โครงการการลงทุนต่างๆ ต้องชะลอออกไป ก็อาจจะปรับลดเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ลง

**บลจ.บีทีชี้การเมืองป่วนตลาดหุ้น แนะลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ปัจจัยด้านการลงทุนต่างๆ ยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสข่าวด้านการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ภาวะการลงทุนในช่วงนี้มีความผันผวน ยากแก่การคาดการณ์ ซึ่งในส่วนของนักลงทุนสถาบันเช่น กองทุนรวม ได้มีการติดตามสถานการณ์และปัจจัยด้านการลงทุนต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสม สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ยังไม่มั่นใจในสถานการณ์การลงทุน บลจ.บีทีแนะนำว่าควรพักงานลงทุนในระยะสั้นๆ เพื่อรอดูปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนที่ชัดเจน

สำหรับแผนการออกกองทุนในเดือนมีนาคม บลจ.บีที ยังคงเน้นออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุโครงการและนโยบายการลงทุนหลากหลาย ทั้งกองทุนคุ้มครองเงินต้น และตราสารหนี้ระยะสั้น โดยกองทุนที่เสนอขายได้แก่ กองทุนเปิดไทยฟิกซ์เทอมคุ้มครองเงินต้น 4 เสนอขายระหว่างวันที่ 2-10 มีนาคม และกองทุนเปิดไทยฟิกซ์เทอมคุ้มครองเงินต้น 5 เสนอขายประมาณปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยเป็นกองทุนคุ้มครองเงินต้นที่ลงทุนระยะสั้นๆ เพียง 3 เดือน เป็นช่องทางการลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการยกเว้นภาษี แลได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมาโดยตลอด

ในส่วนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่เปิดซื้อขายได้ทุก 6 เดือน และจะเปิดซื้อขายอีกครั้งในวันที่ 15-31 มี.ค.คือ กองทุนเปิดไทยทวิตราสารหนี้ เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนคุณภาพ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us