Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2540
"แม็คโคร…สู้ได้เพราะปัจจัยพื้นฐานแท้"             
โดย สนิทวงศ์ เจริญรัตตะวงศ์
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)

   
search resources

สยามแม็คโคร, บมจ.
จาคอป คอร์เนลิโอ อาเดรียโน เดอ ยองเงอ
Wholesale




แม้ปัญหาจะรุมเร้าเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ทำให้กำลังซื้อลดลง, คู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เพิ่มมากขึ้น, ปัญหาภายในองค์กรที่ดูท่าว่าจะสงบแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าจะปะทุขึ้นมาอีกเมื่อไร หรือกรณีหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างซีพีที่เตรียมตีจาก แต่สิ่งเดียวที่ทำให้แม็คโครยืนหยัดอยู่ได้ในขณะนี้ก็คือ ต้นทุนที่ต่ำจึงขายได้ในราคาที่ต่ำเช่นกัน ส่วนอนาคตยังไม่แน่!!

ในขณะที่ธุรกิจหลายประเภทกำลังย่ำแย่ไปหับสภาพเศรษฐกิจ แต่ดูเหมือน บมจ. สยามแม็คโคร ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งในนาม "แม็คโคร" จะไม่สะทกสะท้านกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนัก และยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยการประกาศย้ำถึงจุดยืนของตนเองที่ต้องการขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าคนอื่น รับเฉพาะธุรกิจค้าส่ง และตั้งเป้าขยายตัวปีละ 2 สาขาอย่างต่อเนื่อง

แต่ภายใต้นโยบายการขายและนโยบายการขยายที่สวยหรู ในขณะนี้แม็คโครต้องเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง

คู่แข่งมาก-เศรษฐกิจแย่ ส่งผลกำลังซื้อลด

เริ่มจากคู่แข่งเพราะไม่ว่าแม็คโครจะปฏิเสธอย่างไรว่าบิ๊กซี ซูปเปอร์เซ็นเตอร์ บริษัทในเครือเซ็นทรัลไม่ใช่คู่แข่ง และพยายามหาคำอธิบายจัดกลุ่มในเรื่องคู่แข่ง แบ่งออกเป็นคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า คู่แข่งทางตรงนั้นไม่มี มีแต่ทางอ้อม คือเซฟโก้และร้ายขายส่งแบบที่เรียกกันว่ายี่ปั๊ว

แต่ดูคำให้การของแม็คโครไม่ใคร่จะมีน้ำหนักเท่าไรนัก เพราะแม้ว่าร้านยี่ปั๊วที่ว่านั้นจะมีมากและขายของแบบราคาเหมาจำนวนมากจริง แต่ดูจะจิ๊บจ๊อยเกินไปและเป็นธุรกิจแบบเก่าแล้วเมื่อเทียบกับซูปเปอร์เซ็นเตอร์อย่างแม็คโครหรือบิ๊กซี

หรืออย่างเซฟโก้นั้นก็มีเพียง 2-3 สาขาเท่านั้น ในขณะที่แม็คโครหรือบิ๊กซีมีสาขาอยู่ทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 14-15 สาขา

ที่สำคัญสำหรับบิ๊กซีแล้ว พฤติกรรมที่ออกมาแต่ละอย่างก็ดูเหมือนจะท้าทายแม็คโครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการประกาศราคาสินค้าที่ต่ำแบบสุด ๆ หรือการขยายตลาดมาสู่การขายเหมาแบบยกหีบยกลัง รวมทั้งการหาทำเลชนิดเห็นแม็คโครที่ไหน ก็จะเห็นบิ๊กซีที่นั่น นี่ยังไม่รวมโลตัสและคาร์ฟูร์ ซึ่งก็ตามมาติด ๆ ชนิดเป็นเงาตามตัวด้วยเช่นกัน

และที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้น คือ ขณะที่แม็คโครประกาศชะลอการขยายตัว บิ๊กซีกลับประกาศเป้าหมายชนิดท้าทายว่าภายใน 5 ปี จะมีสาขาครบ 60 แห่งทั่วประเทศ โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีไม่ต่ำกว่า 20 สาขา และตั้งเป้าว่าจะเปิดสาขาบิ๊กซีปีละ 10 แห่ง เพื่อเข้าชิงส่วนแบ่งตลาดซูปเปอร์เซ็นเตอร์ 50% โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ไว้ที่ 22,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ใกล้เคียงกับแม็คโครเช่นกัน

มิไยผู้บริหารของแม็คโครแต่ละรายที่แวะเวียนเข้ามาบริหารตามใบสั่งของบริษัทแม้จะพูดอยู่เสมอว่า เป็นเรื่องปกติเมื่อธุรกิจใดมีการเติบโตที่ดีย่อมมีคู่แข่งเข้ามาร่วมแบ่งแชร์ในตลาดด้วยเสมอ

จาคอป คอร์เนลิโอ อาเดรียโน เดอ ยองเงอ กรรมการผู้จัดการใหม่หมาด ๆ เพราะเพิ่งรับตำแหน่งเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ได้กล่าวว่า "เขาค่อนข้างจะแปลกใจเสียด้วยซ้ำว่า ในช่วง 6 ปีแรกนั้น แม็คโครอยู่ได้อย่างไรโดยไม่มีคู่แข่งเลยสักรายเดียว และเพิ่งจะเมื่อ 2 ปีหลังนี้เท่านั้นที่มีให้เห็นอย่างชัดเจน"

นอกจากเรื่องคู่แข่งแล้วจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ซึ่งจะมีผลต่อแม็คโครแน่นอนถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นเวลานาน เนื่องจากแม็คโครมีมาร์จินประมาณ 9% เท่านั้น จึงต้องอาศัยการขายสินค้าในปริมาณมากเป็นหลัก ดังนั้น สำหรับปีนี้ผลของเศรษฐกิจตกต่ำคงไม่กระทบเท่าไรแต่ปีหน้ามีแน่

ประกอบกับทางการได้เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 10% ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มประมาณ 2.81% ซึ่งตรงนี้ย่อมเป็นภาระทางการเงินของผู้ผลิต ซึ่งผู้บริหารของแม็คโครก็ยืนยันว่าจะพยายามตรึงราคาที่ต่ำที่สุดให้ได้นานที่สุด โดยย้ำว่าซัพพลายเออร์จะขึ้นราคา แม็คโครก็จะไม่ยอมถึงขนาดว่าขู่ว่าถ้าขึ้นจะไปซื้อรายอื่นแทนก็มี

ซึ่งดูเหมือนกลยุทธ์การขู่นี้น่าจะใช้ได้ในช่วงแรกเท่านั้น เพราะถ้าราคาสินค้าขึ้นจริง ๆ แม็คโครก็ต้องปรับตามเช่นกัน แต่ยังเป็นการปรับขึ้นตามซัพพลายเออร์เท่านั้น เพราะจาคอปย้ำว่ามาร์จินยังคงเท่าเดิม

องค์กรระส่ำ จาคอปแก้วิกฤต

และไม่เพียงปัจจัยภายนอกเท่านั้นที่มีผลให้การดำเนินในช่วงนี้ยากลำบากขึ้น ปัจจัยภายในก็เข้ามารุมเร้าอยู่ไม่ใช่น้อย

เริ่มจากการเติบโตที่เร็วเกินไปของแม็คโคร ในระยะเวลา 8 ปี แม็คโครเปิดไปแล้ว 15 สาขา และเตรียมเปิดเป็นสาขาที่ 16 ที่ จ. นครสวรรค์ในต้นปีหน้า ซึ่งเท่ากับว่าขยายปีละ 2 สาขา แต่ในความเป็นจริงบางทีเปิดถึง 3-4 สาขาทีเดียว

ในสายตาของบริษัทแม่ในประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นมองว่าเป็นการเติบโตที่ออกจะเร็วไปสักหน่อย จึงมีนโยบายให้ชะลอการลงทุน แต่ยังคงรักษาระดับปีละ 2 สาขาอยู่และหันมาเน้นเรื่องการจัดระบบระเบียบภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นี่จึงอาจเป็นที่มาของใบสั่งย้ายเอียน เอ็ม แฮมินตัน กรรมการผู้จัดการคนแรกของแม็คโคร ประเทศไทย ซึ่งอยู่มาเป็นเวลาถึง 7 ปีกว่าตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ถูกย้ายไปประจำที่ประเทศอังกฤษ และให้แอนโทนี ลีโอเนล สตีล มารับหน้าที่แทน

การเข้ามาของสตีลค่อนข้างจะอยู่ในช่วงสั้นเพราะเพียงปีเศษ เขาก็ขอลาออกซึ่งสร้างความกังขาให้กับคนภายนอกเป็นอย่างมาก เพราะค่อนข้างจะกระทันหัน และให้เหตุผลเพียงว่ามีปัญหาด้านสุขภาพเท่านั้น

แต่ในช่วงที่สตีลเข้ามานี่เอง ภายในองค์กรของแม็คโครที่กำลังเติบโตและเฟื่องฟูอย่างน่าอิจฉา บุคลากรที่เคยมีความภาคภูมิใจในความเป็นแม็คโครเริ่มระส่ำ และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพในการทำงาน จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงและกลางพากันลาออก

สำทับกับข่าวดังกล่าวได้มีผู้บริหารของแม็คโครอย่างน้อย 3 รายตบเท้าลาออกและพร้อม ๆ กับการลาออกก็มีเสียงจากคนในองค์กรว่า บางคนที่ออกไปนั้นสมควรแล้ว

แต่ทันทีที่ผู้บริหารส่วนหนึ่งออกไปแม็คโครก็มีผู้บริหารเลือดใหม่เข้ามาเสริมทัพ ได้แก่ ฟิลลิป วิลเลี่ยม ค็อกซ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารสินค้า (บริโภค) ในอดีตเคยเป็นกรรมการผู้จัดการ บ. มาบุญครองศิริชัย ซุปเปอร์มาร์เก็ต เข้ามารับตำแหน่งแทน สมชัย สุวรรณนาวาสิทธิ์ ที่ลาออกไปโดยให้เหตุผลว่าจะไปทำธุรกิจส่วนตัว

จุมพล ดิฐวรรณกุล เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสินค้า (อุปโภค) ในอดีตเคยเป็นผู้อำนวยการบริหารประจำประเทศไทยของ บ.แคว็กเกอร์ โอตส์ เอเชีย อิงค์ สาขาประเทศไทย โดยเข้ามาแทนอนุชัย วีรพัฒนกุลที่ย้ายตัวเองไปรับตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านผลิตภัณฑ์และจัดซื้อของบิ๊กซี

ส่วนผู้บริหารอีกรายที่ลาออกไปคือ โกษา พงศ์สุพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารข้อมูล ซึ่งในระยะแรกยังไม่มีใครมารับหน้าที่แทน

อย่างไรก็ตาม การเข้าออกของผู้บริหารระดับสูงหรือพนักงานในบริษัทต่าง ๆ นั้นถือเป็นเรื่องปกติ เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดจากสาเหตุไม่ปกติก็อาจจะมีปัญหาได้ แม้ผู้บริหารจะกล่าวว่าแม็คโครทำงานด้วยระบบเป็นหลัก ทำนองว่าใครเข้ามาก็เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงไม่ว่าองค์กรระดับใดคือ ขวัญกำลังใจของบุคลากร ถ้าตรงนี้เสียไปแม้ระบบจะดีก็อาจทำให้บริษัทเพลี่ยงพล้ำได้ในเชิงธุรกิจ

ปัจจัยที่เข้ามาไล่ ๆ กับการลาออกของผู้บริหาร คือกลุ่มซีพี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็มีอาการจะขอถอนหุ้นจากแม็คโครส่งผลให้หุ้นแม็คโครช่วงหนึ่งมีราคาตกลงอย่างหนัก จากราคาหุ้นเฉลี่ยประมาณ 100 บาทกว่าลงไปเกือบ 40%

และแม้ว่าหลังจากนั้นจะมีการปฏิเสธข่าวดังกล่าวจากทั้งผู้บริหารของแม็คโคร และทางซีพีเองว่ายังเหนียวแน่นต่อกันเหมือนเดิม แต่หุ้นของแม็คโครก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นมาเท่าไรนัก โดยช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นแม็คโครขึ้นลงอยู่ในระดับราคาหุ้นละ 55-65 บาทเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของกลุ่มซีพีนั้นค่อนข้างจะเข้าใจกันได้ เนื่องจากเสมือนเป็นนโยบายของกลุ่มซีพี เมื่อเข้าไปลงทุนที่ใดแล้วต้องได้โนว์ฮาวหรือเทคโนโลยีของธุรกิจนั้น และเมื่อมีโอกาสก็จะหันมาทำกิจการเป็นของตนเอง รวมทั้งการถอนตัวจากกิจการที่ตนเองได้ร่วมทุนในตอนแรกแล้ว

ในเรื่องนี้บริษัทแม่ของแม็คโครก็พอจะรู้และไม่กังวลนัก เพราะการได้ซีพีมาร่วมเมื่อ 8 ปีก่อนนั้น ถือว่าเป็นการกรุยทางที่ดี แต่มาวันนี้ก็ถือว่าแม็คโครตั้งไข่ได้แล้ว การเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีพี่เลี้ยง ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องที่จะลำบากอะไร

จากปัญหาที่รุมเร้าทั้งภายในและภายนอก ทำให้การเข้ามาของเอ็มดีคนใหม่อย่างจาคอปค่อนข้างจะเป็นที่คาดหวังจากสายตาบุคคลภายนอกว่า เขาจะเข้ามาช่วยประสานงานต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานดีขึ้น

แต่นอกเหนือจากการบริหารงานโดยทั่วไปแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมาของจาคอปในอเมริกาใต้ ดูจะเหมาะกับสถานการณ์ของเศรษฐกิจในประเทศไทยได้อย่างเหมาะเจาะ

10 ปีในบราซิล และอีก 5 ปีในเวเนซุเอลา ที่ต้องเจอกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างโชกโชนเช่นกัน ภาวะเงินเฟ้อที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกเดือน ทำให้บางครั้งต้องยกเลิกสัญญาและตกลงซื้อขายสินค้ากันใหม่ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก

เมื่อเทียบกับประสบการณ์ในอเมริกาใต้รวม 15 ปี จาคอปเห็นว่าสถานการณ์ในประเทศไทยดีกว่าเยอะ และค่อนข้างมั่นใจว่า ประเทศไทยจะกลับสู่สภาพเดิมได้ในเวลาอันรวดเร็วภายในระยะเพียงปีครึ่งเท่านั้น

"ถ้าเรามองให้เป็นโอกาสที่ดีในการปรับปรุงองค์กร ให้มามองตัวเองเพื่อปรับปรุงสิ่งที่เรายังบกพร่องอยู่ ถือว่าช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดี" จาคอปกล่าว

แม็คโครยังคงเดินหน้าทำธุรกิจต่อไป โดยเน้นการขายสินค้าในราคาต่ำที่สุด โดยเหตุผลที่ว่ามีการบริหารต้นทุนขายที่ต่ำนั่นเอง และจากลักษณะการขายแบบเหมายกหีบเป็นจำนวนมากเท่านั้นโดยไม่ลงไปในส่วนการค้าปลีก ทำให้ลดต้นทุนในเรื่องการขายลงไปได้มาก

ด้วยปัจจัยพื้นฐานและคอนเซ็ปต์หลักนี่เองที่ทำให้แม็คโครยังคงครองส่วนแบ่งในตลาดประเภทนี้อยู่ถึง 15% ของมูลค่ารวมประมาณ 2.3 แสนล้านบาท โดยมีคู่แข่งคือเซฟโก้และร้านค้าส่งยี่ปั๊วในเซ็กเมนต์ของธุรกิจค้าส่งแบบบริการตัวเองเท่านั้น ปัจจัยพื้นฐานดียังไปได้

อย่างไรก็ตามในอนาคตการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น อาจทำให้ส่วนแบ่งตลาดของแม็คโครลดลงนั่นเป็นเรื่องธรรมดาและแนวโน้มก็พอจะเห็นอยู่

พิจารณาจากตัวเลขการเติบโตของแม็คโคร แม้จะโตอย่างต่อเนื่องแต่ก็อยู่ในอัตราที่ลดลง โดยเฉพาะในช่วงปี'37 แม็คโครมียอดขาย 18,793 ล้านบาท มีอัตราเติบโต 43% ซึ่งเท่ากับอัตราของปี'36 (เป็นตัวเลขในงบการเงินรวม)

ส่วนปี'38 ทำยอดขายได้ 25,011 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเพียง 33% และในปี'39 บริษัทมียอดขายสูงถึง 31,655 ล้านบาท แต่มีอัตราเติบโตเพียง 26%

ขณะเดียวกันในส่วนของกำไรนั้นปี'37 แม็คโครมีกำไร 411 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% และเพิ่มเป็น 619 ล้านบาทในปี'38 คิดเป็นอัตราเพิ่ม 50%

ส่วนปี'39 เพิ่มเป็น 763 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่ม 23% และคาดว่าในปีนี้แม็คโครจะมีกำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 30%

จากการเติบโตในอัตราที่ถดถอยจึงเห็นแนวโน้มได้ว่าแชร์ในตลาดของแม็คโครคงลดไปแน่ แต่โดยภาพรวมกิจการของบริษัทยังคงดีอยู่เพราะทั้งยอดขายและกำไรยังเพิ่มขึ้นทุกปี

อย่างไรก็ตาม แม็คโครยังมี 3 บริษัทย่อย และอีก 1 บริษัทร่วม อันได้แก่ บ.แม็คโครพร็อพเพอร์ตี้, บ. แม็คโครออโต้แคร์, บ. แม็คโครออฟฟิศเซ็นเตอร์ และ บ. พีเพิลส์ เฮ็ลธ์แคร์ ตามลำดับ โดยบริษัทย่อยถือในสัดส่วน 99.99% ส่วนบริษัทร่วมถือ 45% ซึ่งพิจารณาจากการเติบโตและขยายงานของบริษัทเหล่านี้พบว่าในอนาคตจะมีนัยสำคัญต่อรายได้และกำไรของบริษัทแม่อยู่มิใช่น้อย

และเนื่องจากแม็คโครเป็นธุรกิจ Wholesale ในลักษณะ cash and carry คือรับเฉพาะเงินสดและให้ลูกค้าบริการตัวเอง เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหาร ทำให้กิจการมีกระแสเงินสดที่สูง ประกอบกับการชะลอการลงทุนบริษัทจึงมีสัดส่วนการก่อหนี้ที่ต่ำเพียง 5-6% ของส่วนผู้ถือหุ้นเท่านั้น ย่อมแสดงถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี

โดยรวมแล้วแม็คโครยังมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอนสำหรับในปีนี้ ทั้งความสามารถของผู้บริหารและทีมงานระบบงานของแม็คโครเอง รวมทั้งความเข้มแข็งทางการเงิน ส่วนปีหน้านั้นเนื่องจากกำลังซื้อของคนลดลงอย่างแน่นอน ซึ่งต้องดูกันว่าผู้ค้าส่งรายใดจะมีกลยุทธ์ใหม่ที่จะดึงใจลูกค้าได้มากกว่ากัน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us