Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2540
"อะเมซิ่งไทยแลนด์ กับงบ 2 พันล้านสานฝันเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือ"             
โดย กุสุมา พิเสฏฐศลาศัย
 


   
search resources

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
Tourism




ไทยเร่งสปีดรายได้จากการท่องเที่ยว หวังดึงเงินต่างชาติ 6 แสนล้านบาทในโครงการอะเมซิ่งไทยแลนด์ 2541-42 พร้อมทุ่มงบรวม 1.8 พันล้านบาทเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในปีแรกนักธุรกิจท่องเที่ยวชี้เป็นไปไม่ได้ หากภาครัฐไม่สนใจแก้ปัญหาแหล่งท่องเที่ยวและภาพพจน์ประเทศก่อน เน้นการท่องเที่ยวเป็นเรื่องระยะยาว แก้ไม่ได้เพียงแค่โปรโมชั่น

ประเทศไทยในยามนี้ เรากำลังมีหนี้สินล้นพ้นตัวทั้งหนี้เก่าที่ยังค้างคาอยู่ และหนี้ใหม่ที่ผู้บริหารของไทยไปเจรจากู้มาจากนานาประเทศ เมื่อมีหนี้สินก็จะต้องใช้หนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ในภาวะเช่นนี้สิ่งที่ไทยจำเป็นต้องทำก็คือ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของคนไทยทั้งชาติ ถ้าคนไทยไม่ต้องการได้ชื่อว่าเป็นบุคคลผู้อาศัยอยู่ในประเทศที่ล้มละลายทางเศรษฐกิจ ทุกวันนี้เราเพียงแต่อยู่ในขั้นใกล้และเกือบเข้าไปทุกขณะแล้ว

วิธีการลดค่าใช้จ่ายหรือลดการนำเงินตราออกนอกประเทศแบบง่าย ๆ ก็คือลดการนำเข้า และการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศของคนไทย ดังที่ภาครัฐกำลังรณรงค์ในเรื่องของการ "ใช้ของไทย เที่ยวเมืองไทย" นั่นเอง

ส่วนการเพิ่มรายได้ของประเทศหรือหาเงินตราต่างประเทศเข้าไทยที่สำคัญ ๆ ก็คือ เพิ่มการส่งออกและดึงดูดชาวต่างชาติมาเมืองไทยให้มากขึ้น ไม่ว่าจะมาเพื่อท่องเที่ยวหรือเข้ามาลงทุนก็ตาม

ในเรื่องของการส่งออกนั่น ภายหลังการประกาศใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นระบบลอยตัวแล้ว ส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยปรับตัวลดลงตามพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลดีต่อภาคส่งออกในการแข่งขันทางด้านราคากับประเทศอื่น ๆ ได้ดีขึ้นและคาดว่าการส่งออกจะกระเตื้องขึ้นได้ในไม่ช้านี้

อย่างไรก็ดี โครงสร้างการส่งออกของไทยทุกวันนี้ส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งไทยจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบมาจากต่างประเทศ มาประกอบและผลิตส่งออกไปอีกทอดหนึ่ง ทำให้รายได้ที่แท้จริงที่เข้าประเทศไม่มากมายอะไรนัก เนื่องจากประเทศไทยไม่มีอุตสาหกรรมพื้นฐานรองรับอย่างเพียงพอ ปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องแก้ไขในระยะยาว

สิ่งที่รัฐบาลพอทำได้ในระยะสั้น ๆ ในทุกวันนี้ จึงไม่พ้นการส่งเสริมการส่งออกในภาคเกษตรกรรมให้มากขึ้น และสนับสนุนในเรื่องของการท่องเที่ยวไทยอย่างจริงจัง

เมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงายมากมาย มีแหล่งประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรมเก่าแก่ที่ชาวต่างชาติสนใจศึกษา มีอาหารไทย ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ ที่สำคัญความมีอัธยาศัยไมตรีของคนไทยจนขึ้นชื่อว่า "สยามเมืองยิ้ม" ก็ยังเป็นจุดขายได้

ทรัพยากรท่องเที่ยวที่ไทยมีอยู่เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ไม่ต้องลงทุน เราเพียงดูแลจัดการให้ดี มีงบประมาณในการบำรุงรักษาอย่างเพียงพอ ก็สามารถทำรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาลแล้ว นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากทั้งในแง่ของผลกำไรอันเป็นตัวเงินตราต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้ที่สำคัญอีกทางหนึ่ง

ในแต่ละปีไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวนับแสนล้านบาท เมื่อเทียบกับรายได้จากการส่งออกแล้ว ทุกวันนี้การท่องเที่ยวนำโด่งมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยปี 2538 และ 2539 รายได้จากการท่องเที่ยวมีมากถึง 190,765 ล้านบาท และ 219,364 ล้านบาท ตามลำดับ

ปัจจุบันการท่องเที่ยวกลายเป็นความหวังอันสูงสุดของภาครัฐ โครงการอะเมซิ่งไทยแลนด์ 2541-42 จึงเกิดขึ้นเพื่อเพิ่มรายรับเข้าสู่ประเทศ โดยตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไทยในช่วง 2 ปี ดังกล่าวจำนวน 17 ล้านคน และจะมีเม็ดเงินเข้ามาถึง 1 ล้านล้านบาท งานนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) คาดว่าจะของบประมาณทั้งสิ้น 5,667 ล้านบาท ส่วนปี 2540 ททท. ได้งบมาเพื่อใช้ในการนี้แล้วประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท โดยเป็นงบเพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ประมาณ 1.8 พันล้านบาท

จำนวนเงินลงทุนในการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างมหาศาลนี้ชวนในรู้สึกหวาดเสียวแทนท่านผู้ว่าททท. เสรี วังส์ไพจิตร ไม่ได้ เพราะหากพลาดเป้าไปไกล ไม่สามารถสานหวังของคนไทยที่เชื่อว่าการท่องเที่ยวจะช่วยให้ประเทศไทยฟื้นตัวเร็วขึ้นได้ก็คงจะหนาวไม่น้อย เนื่องด้วยการจะดึงดูดให้คนมาเที่ยวเมืองไทยนั้นทำแค่การโปรโมชั่นมันคงไม่พอ

หากงัดตำราการตลาดมาว่ากันแล้ว กลยุทธ์หลัก 4 ตัวล้วนแล้วแต่สำคัญไม่แพ้กัน คือ สินค้า(Product) ราคา(Price) ช่องทางการจัดจำหน่าย(Place) และการสนับสนุนการขาย(Promotion)

คุณภาพแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอันดับหนึ่ง

ชนินทร์ โทณะวณิก กรรมการบริหารบริษัทดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดใจว่า โครงการอะเมซิ่งไทยแลนด์นี้เป็นโครงการที่ดี แต่จะหวังผลตามที่ตั้งเป้านั้นเป็นไปได้ยาก

"ผมคิดว่าวิธีการใช้เงินของรัฐไม่ถูกต้องนัก เช่น ถ้ามีร้านอาหาร 2 ร้าน ร้านหนึ่งมีการโฆษณาอย่างสวยหรู แต่อีกร้านหนึ่งคุณรู้ว่ามีอาหารอร่อย คุณจะไปร้านไหน" ชนินทร์ตั้งคำถาม เขากำลังจะย้ำว่า ตัวสินค้าคือแหล่งท่องเที่ยวของไทย รวมถึงภาพพจน์ของเมืองไทยกำลังมีปัญหา

สิ่งเหล่านี้ภาครัฐเองก็รู้ดีเพราะได้มีการสำรวจและประกาศว่าแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยทุกวันนี้ อยู่ในขั้นเสื่อมโทรมประมาณ 172 แห่ง ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้กลับคืนมาสู่ความเป็นธรรมชาติ และมีการจัดการที่ดีนั้นจำเป็นต้องใช้เวลานาน และต้นทุนของการแก้ไขก็มักจะสูงกว่าการดูแลป้องกันเสมอ

อย่างไรก็ดีหาก ททท. จะให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้และเริ่มต้นทำเสียแต่วันนี้ อย่างน้อยก็จะช่วยลดความผิดหวังของนักท่องเที่ยวที่กำลังจะเข้ามาลงไปได้บ้าง ประเทศไทยเราจะได้ไม่เสียฐานลูกค้าไปในระยะยาว งบประมาณ 1.8 พันล้านบาทที่ใช้เพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการอะเมซิ่งไทยแลนด์ในปี 2540 หากแบ่งมาใช้ในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นก็คงจะดีไม่น้อย

ในส่วนของสินค้าสนับสนุน คือบริการด้านการท่องเที่ยวต่าง ๆ ไทยมีความพร้อมอยู่มาก เรามีบริษัททัวร์มากมาย มีโรงแรมทุกระดับไว้รองรับ มีที่พักใกล้ชิดธรรมชาติ มีระบบการเดินทางขนส่งที่ได้มาตรฐาน แม้จะมีปัญหาเรื่องการจราจรในเมืองหลวง และมลภาวะที่ต้องแก้ไขอยู่บ้างก็ตาม

Kurt Wachtveitl ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมโอเรียลเต็ล กล่าวว่าปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ก็คือ ความฉ้อฉลของไกด์ชาวไทย บ่อยครั้งที่ลูกค้าของโรงแรมต้องการเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ๆ ในกรุงเทพฯ แต่กลับถูกไกด์ผีที่ดักอยู่ตามหน้าโรงแรมหลอกต่าง ๆ นานา ว่าพระราชวังปิดบ้าง เป็นวันหยุดบ้าง และพาไปซื้ออัญมณีแทน โดยพาไปตามร้านค้าที่ไกด์รู้จัก ซึ่งบ่อยครั้งจะโก่งราคาลูกค้าหรือบางครั้งก็เป็นเพชรปลอม สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพพจน์ของเมืองไทยเสียหาย

ในประเทศที่เล็งเห็นความสำคัญของการท่องเที่ยวในระยะยาว เช่น สิงคโปร์ ประเทศเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีทรัพยากรสำคัญทางด้านการท่องเที่ยวเลย สิงคโปร์ใช้แหล่งชอปปิ้งปลอดภาษีเป็นจุดดึงดูดชาวต่างชาติ ร้านค้าของที่ระลึกในสิงคโปร์หากประพฤติตนไม่ดี ขายสินค้าเกินราคา ขายของปลอม นักท่องเที่ยวสามารถร้องเรียนไปยังตำรวจท่องเที่ยวได้ หากมีการตรวจสอบว่าเป็นจริง ร้านนั้นจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย และจะถูกขึ้นบัญชีในหนังสือที่แจกแก่นักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งหมายถึงว่าอนาคตทางการค้าของร้านเหล่านั้นจะถูกกระทบทันที

อย่างไรก็ดี ในเรื่องความปลอดภัยก็เป็นเรื่องสำคัญ โรงแรมในเมืองไทยมีตัวอย่างไฟไหม้ให้เห็นหลายแห่ง แต่ละแห่งล้วนแล้วแต่ฟ้องถึงการขาดการดูแลเอาใจใส่ของทั้งผู้ประกอบการเอง และภาครัฐ ซึ่งปัญหานี้สมาคมโรงแรมกำลังมีการรณรงค์เพื่อแก้ไขอย่างเต็มที่

การจัดระบบบริหารการท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง นวินทร์ วงศ์จุลละรัต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โรงแรมโรสกาเด้น (สวนสามพราน) ยกตัวอย่างว่า ในบริเวณสนามหลวง และรอบๆ วัดพระแก้ว ซึ่งนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สุดของไทยก็ว่าได้ บริเวณดังกล่าวนี้มีที่จอดรถไม่เพียงพอ แต่หากมีการจัดการที่ดีจะช่วยแก้ปัญหาได้ เช่น จัดเป็นรถวิ่งรอบสนามหลวงซึ่งจะหยุดจอดตามจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นลงได้ทั้งวันโดยเสียค่าโดยสารครั้งเดียว

"ทุกวันนี้ บริษัททัวร์ใดพาลูกค้ามาก็มีรถมาจอดรอ รถก็เต็มไปหมด แต่ถ้าทำเป็นระบบรวมบริษัททัวร์เพียงพาลูกค้ามาส่ง นอกจากนั้นก็เป็นระบบกลางจัดการไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้น" นวินทร์กล่าว

ระบบการจัดการทางด้านการท่องเที่ยวจำเป็น และไทยยังขาดแคลนบุคลากรทางด้านนี้อีกมาก สิ่งเหล่านี้เองคือปัญหาหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่อยากกลับมาเยือนเมืองไทยอีก การพยายามชักชวนนักท่องเที่ยวรายใหม่ ๆ ให้มาเยือนเมืองไทยเป็นสิ่งจำเป็น แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวที่เคยมาเมืองไทยแล้วรู้สึกประทับใจ และกลับมาเยือนไทยทุกปี พร้อมกับเพื่อน ๆ ของคนเหล่านั้น เที่ยวไทยถูกจริงหรือ เมื่อลดค่าเงินบาท

ภายหลังนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวของภาครัฐ ทำให้ค่าเงินบาทลดลงประมาณ 40-50% เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักหลายสกุล การลดราคาประเทศโดยรวมเช่นนี้ย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวประเภทอินบาวด์อย่างแน่นอน เพราะสามารถแข่งขันในด้านราคาได้มากขึ้น

บริษัททัวร์ของไทยหลายแห่งที่มีลูกค้าทั้งอินบาวด์ และเอาต์บาวด์ ต่างปรับกลยุทธ์หันมาเน้นการท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้นเพราะมองว่านี่คือจุดที่จะทำให้อยู่รอดต่อไปได้ ขณะที่ทัวร์เอาต์บาวด์แทบจะตายสนิท จากผลของนโยบายที่ภาครัฐงดการสัมมนานอกสถานที่ และรณรงค์ให้คนไทยเที่ยวไทยมากขึ้น

นวลจันทร์ เพียรธรรม ประธานกรรมการบริษัทเอ็นซีทัวร์กล่าวว่า บริษัทหันมาเน้นทัวร์อินบาวด์ หรือทัวร์ในประเทศมากขึ้น สำหรับทัวร์อินบาวด์แม้ตลาดจะดีกว่าเอาต์บาวด์ในตอนนี้ก็จริง แต่ก็ไม่ง่าย เนื่องจากค่าเงินบาทถูกลง ทำให้ชาวต่างชาติที่ได้รับการเชิญชวนมาเมืองไทยพยายามจะกดราคาให้ถูกลงไปอีก โดยไม่คำนึงว่าบริษัททัวร์จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทั้งการประสานงานกับเอเยนซีต่างประเทศและเรื่องของภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราใหม่

นักท่องเที่ยวต่างประเทศส่วนใหญ่จะมองว่าเมื่อค่าเงินบาทถูกลงไป 40-50% ราคาทัวร์จะควรจะถูกลงไปในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแต่ละครั้งนั้นที่สำคัญก็คือ ค่าพาหนะ อาหาร และที่พัก ซึ่งในส่วนของค่าพาหนะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน รถยนต์ เรือ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอันเป็นต้นทุนสำคัญแพงขึ้นมาเกือบ 50% จากการลอยตัวค่าเงินบาท

ในเรื่องของอาหารยุคเงินเฟ้อก็ไม่น้อยหน้า ทั้งอาหารข้างถนนจนถึงอาหารในโรงแรมต่างปรับราคาขึ้นตามต้นทุนผักปลา และราคาแก๊สที่แพงขึ้น อาหารข้างถนนปรับราคากันคราวละ 5 บาท 10 บาท ขณะที่อาหารในโรงแรมปรับตัวครั้งละ 10-15%

ส่วนเรื่องของโรงแรมที่พักก็ไม่แตกต่าง โรงแรมส่วนใหญ่ปรับราคาเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น

ชนินทร์ เล่าว่า "ผมศึกษามาในช่วงที่เม็กซิโกค่าเงินตก มันมีโรงแรมอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไม่ขึ้นราคาหวังจะดึงลูกค้าเข้ามาเยอะๆ แต่อีกกลุ่มขึ้นราคาเท่ากับเงินเหรียญ 2 ปีที่ผ่านมาปรากฏว่ากลุ่มที่ขึ้นราคาและเก็บค่าห้องเป็นเงินเหรียญได้ประโยชน์มากกว่า พวกที่ไม่ขึ้นราคากลับตาย เพราะคนที่จะเดินทางไปไหน ค่าห้อง 70 เหรียญ หรือ 100 เหรียญมันไม่มีความหมายถ้าเขาจะไป อีกอย่างหนึ่งถ้าคิดเป็นเงินเหรียญเขาจะรู้งบประมาณที่แน่นอนโดยไม่ต้องคิดกลับไปกลับมาจากค่าเงินบาท"

ชนินทร์นำสิ่งที่เกิดขึ้นในเม็กซิโกนี้มาปรับใช้กับโรงแรมในเครือดุสิตธานี ทุกวันนี้ดุสิตธานีรับเงินตราจากเงินหลายสกุล แล้วแต่ว่าลูกค้าเหล่านั้นต้องการให้โค้ดราคาเป็นเงินสกุลใด

ในส่วนของโรงแรมโรสกาเด้น (สวนสามพราน) นั้น นวินทร์ เปิดเผยว่า การลดค่าเงินบาททำให้ราคาที่พักและอาหารของโรงแรมถูกลงไปประมาณ 40% แต่โรสกาเด้นได้ปรับราคาขึ้นมาเพียง 10% เท่านั้น "ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนมาก เพราะเรายังรับเงินเฉพาะสกุลบาทเท่านั้น จะเห็นเลยว่าราคาของเราถูกลงไปเยอะ"

Kurt Wachtveitl เองก็ให้ความเห็นไม่แตกต่างกันนัก เขามองว่าโรงแรมโอเรียลเต็ลนั้น ลูกค้าเกือบ 100% เป็นชาวต่างประเทศ ดังนั้นการขึ้นราคาค่าที่พัก 7% อาหาร 10% การแสดงต่าง ๆ 20% สำหรับชาวต่างชาติจะไม่ทำให้เขารู้สึกว่าแพงขึ้น เนื่องจากทางโรงแรมนั้นใช้เงินสกุลบาทอยู่ขณะที่ค่าเงินบาทก็อ่อนตัวลงไป 40-50%

ราคาค่าพาหนะ อาหารและที่พักซึ่งเพิ่มขึ้นนี้แม้จะไม่มากมายนักเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทที่ถูกลงเมื่อหักลบกันแล้ว ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติอาจจะลดลงไปประมาณ 21-20% เท่านั้น ซึ่งไม่มากมายอะไรนัก และสิ่งเหล่านี้ก็สะท้อนผ่านมาที่ราคาทัวร์อินบาวด์ที่ถูกลงแต่ไม่ถูกจริงอย่างที่นักท่องเที่ยวติงกันมา

นักท่องเที่ยวเอเชียยังนำแต่หวังไม่ได้มาก

อย่างไรก็ตามการไปโรดโชว์ในประเทศใหม่ ๆ ย่อมสำคัญมาก กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ย่อมสำคัญมาก ซึ่ง ททท. เองกำลังเดินหน้าในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

จากสถิติการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาสแรกปีนี้ เฉพาะที่ผ่านมาทางสนามบินดอนเมืองเท่านั้น พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา 1,481,824 คน เพิ่มขึ้นประมาณ 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชีย 762,286 คน หรือประมาณ 54.85% จากทั้งหมด โดยมีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นนำเป็นอันดับหนึ่งคือ 256,512 คน คิดเป็น 17.31%

สำหรับนักท่องเที่ยวยุโรปมีเข้ามาทั้งสิ้น 28.58% เป็นชาวเยอรมันมากที่สุด ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวจากอเมริกันคิดเป็น 6.99% และนักท่องเที่ยวจากที่อื่น ๆ อีก 0.58%

ประเทศที่เศรษฐกิจดี ประชาชนย่อมมีแนวโน้มจะเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น หากมองไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในแทบเอเชียด้วยกันไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หรือมาเลเซีย จะพบว่าประเทศเหล่านี้เพิ่งมีการปรับลดค่าเงินสกุลท้องถิ่นลงตามหลังไทยเมื่อไม่นานมานี้ เพราะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ มาเลเซียเองก็กำลังโปรโมตในเรื่องการท่องเที่ยวแข่งกับไทยอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งจะเป็นผลดีในแง่ที่ชาวต่างประเทศอาจจะเดินทางมาครั้งเดียวแวะเที่ยวประเทศย่านเอเชียที่อยู่ใกล้เคียงกันไปด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะคาดเดาได้บ้างก็คือว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากเอเชียที่เดินทางมาไทยอาจจะลดลงไปบ้างเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ

"ไทยจำเป็นต้องเปิดตลาดใหม่ๆ ไม่ใช่นำงบทั้งหมดไปลงกับประเทศที่คนรู้จักไทยค่อนข้างดีอยู่แล้ว เพราะมันจะได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า" ผู้คร่ำหวอดในวงการท่องเที่ยวรายหนึ่งแสดงความคิดเห็น

โปรโมชั่น 1.8 พันล้านบาท ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือเปล่า

แหล่งข่าวในแวดวงท่องเที่ยวอีกท่านหนึ่งออกความเห็นว่า "ปัญหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของไทย ไม่ว่าจะเรื่องแหล่งท่องเที่ยว การจราจร การจัดระบบและบริหารการท่องเที่ยวต่าง ๆ พูดกันมา 10 ปีก็ไม่เห็นมีการแก้ไข การโฆษณานั้นจะให้งบ 100 ล้านบาท หรือ 1,000 ล้านบาทมันก็ไม่พอกัน เพราะการท่องเที่ยวเป็นเรื่องระยะยาว ต้องแก้ที่พื้นฐาน ไม่ใช่ฉาบฉวยแค่การโปรโมชั่น"

อย่างไรก็ดีหากพิจารณาจากเป้ารายได้ 2 ปีที่ 1 ล้านล้านบาท โดยเป็นรายได้จากต่างประเทศ 6 แสนล้านบาท และจากคนไทยเที่ยวไทยอีก 4 แสนล้านบาท ขณะที่ ททท. คาดว่าจะต้องใช้งบโฆษณาประชาสัมพันธ์รวม 2 ปีเพียง 5.67 พันล้านบาทก็เป็นเรื่องที่คุ้มค่า แม้จะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งในสายตาของนักธุรกิจท่องเที่ยวทั้งหลายก็ตาม คนเหล่านี้พูดกันราวกับประสานเสียงว่า "ถึงอย่างไรทำบ้างก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร" แต่ก็ไม่หวังว่าธุรกิจท่องเที่ยวในไทยจะบูมมากมายอย่างปี 2530 เพราะสถานการณ์มันผิดกัน

นักการตลาดบางท่านให้ความเห็นในมุมมองตอกย้ำลงไปที่จุดเดิมว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์จะให้ผลอย่างมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วคุณภาพของสินค้ามีความจำเป็นอย่างมาก ตราบใดที่การบริหารจัดการในเรื่องของทรัพยากรการท่องเที่ยวและปัจจัยสนับสนุนยังมีภาพที่ไม่สวยนัก การแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยหวังใจจากการท่องเที่ยวนั้นคงเป็นไปได้ยาก

เขายกตัวอย่างว่า สินค้าที่โฆษณาออกทีวีบางยี่ห้อ เมื่อโฆษณาออกมาเป็นที่เกรียวกราวมาก ผู้ชมทางบ้านติดอกติดใจ จนทำให้ยอดขายในช่วงแรกพุ่งกระฉูด แต่หลังจากนั้นไม่นานบริษัทนั้นก็พบว่าเงินที่ทุ่มไปกับการโฆษณานับ 100 ล้านบาทนั้นเสมือนสูญเปล่า เพราะลืมที่จะมองว่าสินค้าของตนนั้นไม่เป็นที่ถูกปากถูกใจลูกค้าได้ดังที่โฆษณาไว้อย่างสวยหรู

"และเมื่อลูกค้าผิดหวังกับสินค้าแล้ว ต่อไปก็จะเป็นการยากที่เขาจะหวนกลับมาอีก กลายเป็นการเสียลูกค้าในระยะยาว" เซียนการตลาดสรุป

แต่ ททท. ก็มั่นใจว่ากิจกรรมที่เตรียมไว้ซึ่งเน้นใน 6 เรื่องหลัก คือ การชอปปิ้งสินค้าไทย อาหารไทย การส่งเสริมการประชุมนิทรรศการและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล ส่งเสริมงานประเพณีและกิจกรรมพิเศษ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเน้นสิ่งแวดล้อมและการกีฬา รวมถึงการจัดรายการนำเที่ยวต่าง ๆ จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาได้ และการทุ่มงบโฆษณาอย่างพอเพียงจะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ตามเป้า ซึ่งหากงบประมาณในส่วนนี้น้อยลงก็ย่อมหมายถึงเป้านักท่องเที่ยว 17 ล้านคนใน 2 ปีก็ต้องปรับลดลงมาด้วย

ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (2540-2544) จะมีเป้าหมายว่าในปี 2540 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 7.75 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 245,122 ล้านบาท และขยายตัวปีละ 15% โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้นปีละ 7% และสนับสนุนให้คนไทยเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี

งานอะเมซิ่งไทยแลนด์เปรียบเสมือนกิจกรรมเสริม เพื่อให้แผนดังกล่าวประสบความสำเร็จ ขณะที่บรรยากาศการท่องเที่ยวในปีนี้ดูไม่สดใสนัก ในภาวะที่ลำบากเช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่หากคนไทยไม่ร่วมมือร่วมใจกันช่วยเหลือ ความหวังที่การท่องเที่ยวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นเร็วขึ้นอาจจะเป็นได้แค่หวังเท่านั้น

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us