แทนไท เป็นพนักงานระดับบริหารของบริษัทเอกชนบริษัทหนึ่ง ในวัย 30 ตอนปลาย
รายได้ของเขาที่มีอัตราเพิ่มขึ้นมาตลอดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น ทำให้เขาต้องการซื้อบ้านใหม่แทนบ้านหลังเดิมที่เป็นแบบทาวน์เฮาส์เพียง
20 ตารางวาหลังเล็กๆ
เขาตัดสินใจซื้อบ้านหลังใหม่เนื้อที่ 60 ตารางวาราคาประมาณ 3 ล้านบาทเมื่อกลางปีที่ผ่านมา
ในย่านชานเมืองแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งสามารถเดินทางมาทำงานได้ด้วยการขึ้นทางด่วนแจ้งวัฒนะ
บ้านใหม่หลังนี้สร้างเสร็จพร้อมโอนให้กับเขาได้ในเดือนตุลาคม 2540
แต่ชั่วระยะเวลาปีเดียว เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายกับชีวิตของแทนไท
โดยที่เขาตั้งตัวรับแทบไม่ทัน หลังจากผ่อนดาวน์บ้านไปแล้ว 10 งวด เหลือระยะเวลาเพียง
2-3 เดือนจะถึงเวลาโอน ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างรุนแรงนั้นทำให้ผู้บริหารของบริษัทที่เขาทำงานอยู่
ลดเงินเดือนเขาถึง 25% ในชั่วระยะเวลาไล่เลี่ยกัน แป้งร่ำภรรยาของเขาซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รายใหญ่แห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ถูกให้ออกจากงาน
สาเหตุเพราะบริษัทเงินทุนแห่งนั้นถูกแบงก์ชาติสั่งปิด
โชคดีที่แทนไทได้น้องชายเข้ามาช่วยเป็นผู้กู้ร่วมในการซื้อบ้าน โชคดีโครงการบ้านจัดสรรที่แทนไทซื้อนั้นใช้เงินกู้ทำโครงการกับบริษัทเงินทุนแห่งหนึ่งที่ถูกสั่งปิด
แต่เจ้าของโครงการสามารถหาเงินจากแหล่งอื่นมาก่อสร้างบ้านของเขาจนเสร็จ แต่พวกลูกค้ารายย่อยจะต้องหาเงินกู้ระยะยาวกันเอง
ครั้งแรกทางโครงการแนะนำให้แทนไทกู้เงินจากธนาคารซิตี้แบงก์ เขายื่นหลักฐานการกู้ไปเพียงอาทิตย์เดียว
ฝ่ายสินเชื่อของซิตี้แบงก์ก็ติดต่อกลับมา ขอดูผลประกอบการบริษัทที่แทนไททำงานอยู่
และแน่นอนแทนไทไม่ได้รับอนุมัติ เพราะผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ในช่วงเวลานี้ติดลบกันอยู่ทั้งนั้น
รวมทั้งบริษัทเขาด้วย
แทนไทติดต่อไปยังสถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่งตามคำแนะนำของเพื่อน คราวนี้เขารออยู่ประมาณ
2 อาทิตย์ เจ้าหน้าที่แจ้งกลับมาว่า รายการของแทนไทไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะเมื่อมีการเช็กย้อนหลังไปพบว่าเมื่อปี
2538 แทนไทใช้บัตรเครดิตใบหนึ่งเกินวงเงิน และจ่ายชำระช้าไป 2 เดือน ถึงแม้ปัจจุบันเขาไม่มีวงเงินค้าง
แต่ถูกสรุปไปแล้วว่าประวัติทางการเงินของเขาไม่ดี
เขากลุ้มใจมาก ในขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านก็โทรมาเร่งรัดเขาทุกวันให้โอนให้ได้
"จันทร์นี้นะคะ แน่นอนนะไม่อย่างนั้นแล้วบริษัทก็ช่วยไม่ได้"
แทนไทมาเล่าให้เพื่อนฝูงฟังถึงคำขู่ของเจ้าหน้าที่หมู่บ้าน
ไม่เฉพาะแทนไท คนกลุ่มใหญ่ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของบริษัทบ้านจัดสรรกำลังเจอปัญหานี้
โพสไฟแนนซ์คือเรื่องใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้น และมีผลกระทบต่อประชาชนอย่างจัง
"ตอนนี้ผมมีลูกค้าพร้อมโอนอยู่หลายสิบหลัง แต่ก็โอนไม่ได้ ก็ต้องแก่งแย่งไปขอเงินกู้ให้ลูกค้าตามแบงก์ต่าง
ๆ ผมพูดได้เลยใน 15 แบงก์ตอนนี้ ปล่อยจริง ๆ ไม่เกิน 3 แบงก์ นอกนั้นปล่อยแต่ปาก
หรือต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน แล้วสรุปว่าไม่ได้ อย่าไปยื่นให้เสียเวลา
เสียกระดาษเลย" อธิป พีชานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บจม. ศุภาลัยกล่าวกับ
"ผู้จัดการรายเดือน" และเล่าให้ฟังต่อว่า ทุกรายถูกเช็กโดยละเอียดขึ้นเช่นว่าทำงานอยู่ที่บริษัทใด
บริษัทนั้นมีผลประกอบการเป็นอย่างไร และหลายรายได้รับอนุมัติในวงเงินที่น้อยลง
ซึ่งในกรณีนี้ก็เท่ากับทำให้ลูกค้าโอนไม่ได้อยู่ดี เพราะต้องไปหาเงินก้อนส่วนที่เหลือเข้ามาก่อน
ซึ่งลูกค้าที่ว่านั้นอาจจะไม่รวมลูกค้ารายย่อยที่ทางสถาบันการเงินนั้นปล่อยกู้โครงการอยู่แล้ว
ดังนั้นลูกค้าที่เจอปัญหาหนักในเรื่องนี้ก็คือลูกค้าในโครงการที่กู้เงินจากสถาบันการเงินทั้ง
58 แห่ง ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก
แต่ก็ไม่แน่นักลูกค้าโครงการคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งบนถนนเพชรบุรีเคยร้องเรียนมาที่
"ผู้จัดการรายเดือน" ว่า ซื้อคอนโดไปแล้ว พอถึงเวลาโอนกับแบงก์ที่สนับสนุนโครงการ
หรือนัยหนึ่งคือแบงก์ผู้ถือหุ้นโครงการนั้น แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับบอกว่าตอนไม่มีเงินให้ไปติดต่อกู้เงินที่อื่นก่อน
"สมัยก่อนโอนช้า โอนเร็ว ติดอยู่ที่หน่วยราชการ ขึ้นอยู่กับใครใต้โต๊ะเท่าไหร่
ส่วนเงินกู้นั้นแบงก์กลับแข่งกันให้ 3 วัน 7 วัน ได้ ตอนนี้ยื่นเรื่องแล้วผ่านใน
1 เดือนก็นับว่าเร็วมากแล้ว" แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ดูราวกับว่าขณะนี้ความหวังของทุกคนกำลังพุ่งไปยังธนาคารคนยาก
หรือธนาคารอาคารสงเคราะห์แทน ซึ่งจากตัวเลขสถิติยืนยันชัดเจนว่าขณะนี้กลายเป็นที่พึ่งของประชาชนทุกระดับ
ตัวเลขจากฝ่ายวิชาการธนาคารอาคารสงเคราะห์ระบุว่าในปี 2538 รายได้ครัวเรือนที่มีรายได้เกิน
600,000 บาท มากู้เพียง 0.10% แต่ในปี 2539 เพิ่มเป็น 10.93% และแน่นอนคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวแน่นอน
สำหรับตัวเลขการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในปี 2540 นั้น ทาง ธอส.ตั้งเป้าไว้ที่
92,000 ล้านบาท ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ปล่อยไปแล้วประมาณ 55,000 ล้านบาท ในช่วง
3 เดือนสุดท้าย ธอส. ยังเหลือเงินสำหรับปล่อยกู้ประมาณ 37,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้า
ธอส. ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อถึง 108,000 ล้านบาท
เมื่อถนนทุกสายมุ่งสู่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ แน่นอนว่าในขณะนี้คิวของ ธอส.
ต้องยาวเหยียดแน่นอน ระยะเวลาขอกู้ของธนาคารจึงอาจจะยาวขึ้น และแน่นอนเพื่อป้องกันความเสี่ยงของตนเอง
ธอส. จึงมีความจำเป็นต้องเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้นเช่นกัน
"จำนวนเงินของ ธอส. ไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่ต้องการเงินกู้ที่ค้างอยู่แน่นอน
เพราะผมเชื่อว่ามีบ้านที่ค้างโอนอยู่ มีเป็นแสนยูนิต" ไชยันต์ ชาครกุล
นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรยืนยันกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
ปัญหาเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ลูกค้ากำลังคิดหนัก
เพราะมันทำให้อัตราการผ่อนต่อเดือนเพิ่มขึ้นด้วย หรือระยะเวลาในการผ่อนนานขึ้นเช่นกัน
ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยของ ธอส. ต่ำสุดอยู่ที่กู้ไม่เกิน
1 แสนบาท ดอกเบี้ย 11% เกิน 1 ล้านขึ้นไปประมาณ 12.5% ในขณะที่เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินต่าง ๆ อยู่ที่ประมาณ 14.5-15.5%
ปัญหาเรื่องของเงินกู้ระยะยาวนี้นับเป็นปัญหาเฉพาะ หน้าที่สำคัญที่รัฐควรจะหามาตรการอย่างเร่งด่วน
และควรจะมีมาตรการว่านอกจาก ธอส. แล้วยังมีหน่วยงานใดที่จะเข้ามาปล่อยกู้ได้บ้าง
เพราะเมื่อประชาชนได้บ้านไปผู้ประกอบการเองก็ได้เงินจากสถาบันการเงินไปเร่งสานต่อโครงการที่คั่งค้าง
เพื่อการโอนครั้งต่อไป ปัญหาก็จะบรรเทาลง เพราะยอดขายรอบใหม่ที่เหลือมันก็จะช้าลง
หลายโครงการที่ผู้ประกอบการประสบปัญหาก็จะต้องชะลอโครงการออกไปก่อนอยู่แล้วเช่นกัน