เมเจอร์ทุ่มงบ 800 ล้านบาทเดินหน้าขยายโรงภาพยนตร์เพิ่ม เผยปัจจัยลบปีนี้ยังห่วงการเมืองที่ไม่แน่นอน แต่เชื่อสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้คนยังมาดูหนังในโรง ล่าสุดเปิดตัว “บัตร เมเจอร์ เอ็ม –แคช” หวังเพิ่มความถี่ให้คนชมภาพยนตร์มากขึ้น คาดยอดขายบัตรปีแรกกว่า 300 ล้านบาทต่อปี
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมในปีนี้ว่า บริษัทฯพยายามสร้างทีมเวิร์คให้แข็งแกร่ง ซึ่งปีนี้นับเป็นปีที่บริษัทฯจะมีการ
ขยายงานมาก ภายใต้งบลงทุน700-800 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มโรงภาพยนตร์แบบเซกเมนต์เตชั่นหรือโรงภาพยนตร์ตามประเภทหนัง เช่น โรงอินเตอร์เนชั่นแนล ฟิล์ม เป็นต้น รวมถึงการขยาย
ไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น เช่น เปิดโรงภาพยนตร์ที่สมุย,พัทยา,พิษณุโลก และโครงการเอสพานาดที่รัชดาภิเษก ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนกับสยามฟิวเจอร์ ภายใต้มูลค่าโครงการกว่า 400 ล้านบาท โดยบริษัทฯถือหุ้น 25% จะเปิดบริการได้ในเดือนตุลาคมนี้ โดยจะมีบริการเพื่อความบันเทิงทุกรูปแบบ ทั้งโรงละคร โรงภาพยนตร์ และโบว์ลิ่ง ฯลฯ คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 3-5 ปี
รูปแบบการขยายสาขาของบริษัทฯจะมี 4 รูปแบบ ได้แก่ สแตนด์ อโลน, ไปกับศูนย์การค้า, ไปกับสยามฟิวเจอร์ และไปกับดิสเคานต์สโตร์อย่างบิ๊กซี คาร์ฟูร์ และโลตัส โดยพื้นที่การทำธุรกิจโรงภาพยนตร์จะต้องใช้ประมาณ 8,000-10,000 ตร.ม.
“ปีนี้ภาพยนตร์ฝรั่งดีหลายเรื่อง ขณะที่ภาพยนตร์ไทยต้องรอลุ้นจากค่ายจีทีเอช โดยสัดส่วนการฉายภาพยนตร์ในปัจจุบัน แบ่งเป็น หนังฝรั่ง 60% และหนังไทย 40% สำหรับตลาดรวมของธุรกิจโรงภาพยนตร์มีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะโต 15—20%”
นายวิชา กล่าวด้วยว่า ปัจจัยลบปีนี้ที่น่าเป็นห่วง คือ เรื่องการเมืองในปัจจุบันที่ยังไม่แน่นอน ซึ่งก็เชื่อว่าเหตุการณ์จะไม่ยืดเยื้อนานและคาดว่าจะจบลงโดยเร็ว แต่โดยภาพรวมในตลาดหลายบริษัทยังมีกำไรอยู่เห็นได้จากการที่หุ้นหลายตัวขึ้น ขณะที่เรื่องเศรษฐกิจทั้งดอกเบี้ยและราคาน้ำมันขึ้นราคานั้น มองว่าผู้บริโภคปรับตัวได้แล้วไม่น่าเป็นห่วง ซึ่งจากสภาพเศรษฐกิจแบบนี้คนส่วนใหญ่ยังนิยมใช้ เวลาว่างในการชมภาพยนตร์
เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ “เมเจอร์ เอ็ม-แคช”
นายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีเนเพล็กซ์และอีจีวี บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการตลาดในปีนี้ของบริษัทฯยังคงใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเซกเมนต์เตชั่น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. ตัวโปรดักส์ เช่น ที่นั่งในโรงภาพยนตร์ 2.โปรโมชั่นต่างๆ เช่น ซีซั่นนอล โปรแกรมหรือการทำโปรโมชั่นตามเทศกาล และ3.บริการ
ต่างๆที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าทั้งโปรดักส์ เซอร์วิสและอีโมชั่นนอล เซอร์วิส โดยจะให้ความสำคัญกับการให้บริการที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่มให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ล่าสุดได้เปิดตัว “เมเจอร์ เอ็ม –แคช : เมจิค ออฟ ซีเนม่า” ซึ่งเป็นนวัตกรรมบริการที่สามารถให้บริการอย่างรวดเร็วและสะดวก เพื่อต้องการเพิ่มความถี่ในการชมภาพยนตร์จากปัจจุบันผู้บริโภคจะดู
ภาพยนตร์เฉลี่ย 1-2 เรื่องต่อเดือน เปลี่ยนเป็นดู 2-4 เรื่องต่อเดือน รวมถึงเพื่อรู้ถึงข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้ามากขึ้น จะเริ่มต้นให้บริการวันที่ 18 เมษายนนี้ที่เมเจอร์ฯและอีจีวี 17 สาขาในกรุงเทพฯและเชียงใหม่ ทั้งนี้บัตรเมเจอร์ เอ็ม-แคชจะแทนที่บัตรเดิมที่มีอยู่ เช่น เอ็ม คลับ, กิฟท์ การ์ด และเมเจอร์ การ์ด
“บริษัทฯใช้เวลาคิดค้นบัตรนี้เป็นเวลากว่า 10 เดือน ซึ่งในอนาคตเอ็ม-แคชจะสามารถใช้ได้กับทุกธุรกิจ รวมถึงสามารถหาซื้อบัตรได้ทุกแห่ง โดยเป้าหมายของเอ็ม-แคช คือ ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปีในการเปลี่ยน นอกจากนี้เรายังเชื่อว่าการออกบัตรนี้จะทำให้มาร์เก็ตแชร์ดีขึ้น จากปัจจุบันมีแชร์อยู่ 75% สิ้นปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 80% อีกทั้งยังเป็นการสร้างแบรนด์ รอยัลตี้ให้สูงขึ้นในกลุ่มลูกค้า”
สำหรับการใช้บริการบัตรเมเจอร์ เอ็ม-แคชนั้น ลูกค้าสามารถใช้รหัสส่วนตัวซื้อบัตรชมภาพยนตร์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ทางอินเทอร์เน็ต , เมเจอร์ไลน์ และตู้คีออส เป็นต้น นอกจากนี้บัตรเมเจอร์เอ็ม-แคชฯยังสามารถใช้ชำระค่าสินค้า ,บริการเคาน์เตอร์จำหน่ายขนมและเครื่องดื่ม ,โบว์ลิ่ง และคาราโอเกะ มีให้เลือก 6 แบบ ได้แก่ บัตรราคา 300 500 800 1,000 1,500 และ2,000 บาท โดยลูกค้าที่ซื้อบัตรจะได้รับมูลค่าบัตรที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ตั้งเป้ายอดขายบัตรปีแรกไว้ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี
“เมเจอร์ เอ็ม-แคชเป็นบริการที่ใช้แทนเงินสด ซึ่งจะช่วยให้เรามีศักยภาพในการทำตลาดเพิ่มมากกว่า 2 เท่า ซึ่งเรามีสถานที่บางจุดที่อยู่ใกล้กัน เช่นที่อีจีวี สยามดิสและพารากอน ซีนีเพล็กซ์ ตรงนี้สามารถทำให้แต่ละพื้นที่มีการคอร์สกันมากขึ้นในด้านต่างๆ เช่น ข้อมูลในการจองภาพยนตร์ ฯลฯ โดยจะช่วยให้ภาพยนตร์อยู่ในโรงได้นานขึ้น และเพิ่มรายได้ให้หนังได้มากขึ้น”
งบการตลาดปีนี้เตรียมไว้ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาทในการทำตลาดและโปรโมชั่นผ่านสื่อต่างๆ ทั้งอโบฟ เดอะ ไลน์ และบีโลว์ เดอะ ไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภคมีการรับรู้มากขึ้น ขณะที่ยอดรายได้ปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะโต 20-30%
|