คงไม่มีประวัติศาสตร์ครั้งไหนของไทยก่อนหน้านี้ ที่ชี้ให้เห็นถึงภาวะวิกฤติของเศรษฐกิจได้มากเท่าในปีนี้
และคงไม่มีครั้งไหนที่สร้างภาวะของความกลมเกลียวในการมุ่งมั่นเข้าแก้ไขปัญหาของชาติของคนจากหลายองค์กร
ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยที่ไม่รอคอยการสั่งการจากทางรัฐบาลได้มากเท่านี้อีกเช่นกัน
คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ถูกชูบทบาทหลัก เป็นแกนนำในการสร้างภาพบรรยากาศการลงทุนที่ดีของประเทศไทย
เพื่อไม่ให้นักลงทุนต่างชาติตื่นตระหนกต่อปัญหาของชาติไทย ด้วยมาตรการสารพัดรูปแบบ
อันเป็นตัวแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยอยู่ในขั้นย่ำแย่ จนหันเหทิศทางการลงทุนไปสู่ประเทศอื่น
แผนปฏิบัติการโครงการเผยแพร่ภาพลักษณ์เศรษฐกิจไทย ถูกดำริขึ้น โดยการระดมมันสมองในด้านการประชาสัมพันธ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น
โดยเลือกมืออาชีพมาดำเนินการ ไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อนที่รัฐบาลพลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ ยอมให้ผู้ใกล้ชิดบางคนออกไปประชาสัมพันธ์กับต่างประเทศ ดังที่ภูษณ
ปรีย์มาโนช อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเคยทำมาแล้ว
เป้าหมายใหม่เพื่อเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ ลบภาพลักษณ์ที่ไม่ดี
และข่าวที่มีผลกระทบในแง่ลบแก่ประเทศ ปลุกจิตสำนึกให้ชาวไทยเกิดความภาคภูมิใจในชาติ
นำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีในระยะยาวเพื่อเพิ่มเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย และสร้างการยอมรับในคุณค่าและมาตรฐานสินค้าและบริการไทย
การดำเนินการครั้งนี้ได้รับการตอบสนองจากภาคธุรกิจอย่างมาก อันเป็นตัวแปรประการหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความตั้งใจทำงาน
แม้ผลที่ออกมายังไม่สามารถเป็นรูปธรรมที่ทำให้เห็นว่าจะแก้ปัญหาได้โดยเร็ว
ไม่เคยมีครั้งใดที่บีโอไอดำเนินการอย่างชัดเจนในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อยักษ์ระดับสากล
ด้วยการนำ Time Warner เจ้าของผู้ผลิตสื่อที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วโลก
อย่าง CNN หรือนิตยสารชั้นนำอย่าง Time, Fortune, Asiaweek, กับอีกกว่า 30
ฉบับที่มีจำหน่ายอยู่ในทุกภูมิภาค เข้ามาทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย
เป็นการร่วมมือกับกรมส่งเสริมการส่งออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดทำโครงการดังกล่าว
ปรับแผนเป็นระยะสั้น เริ่มปฏิบัติการทันทีในเดือนกันยายน 2540 - มกราคม 2541
เป็นระยะเวลา 5 เดือน
โครงการนี้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะการว่าจ้าง
Time Warner ด้วยงบประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ไม่ได้มาจากแค่เงินงบประมาณแผ่นดิน
แต่ยังมีกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตลอดจนการสนับสนุนจากภาคเอกชนอื่น
โดยมีชื่อของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด ติดกลุ่มอยู่ในผู้ให้การสนับสนุนด้วย
ภาพยนตร์โฆษณาที่ออกเผยแพร่ในช่วงรายการข่าวของ CNN กับเนื้อที่โฆษณาเต็ม
2 หน้า ในนิตยสารเครือ Time Warner ซึ่งเป็นสารจากบีโอไอ ส่งถึงนักธุรกิจทั่วโลกชี้ให้เห็นสภาวการณ์ที่แท้จริงของประเทศไทยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเสือแห่งเอเชียตัวนี้ที่ลดแรงปราดเปรียวลง
ซึ่งได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากไอเอ็มเอฟ และคงฟื้นตัวขึ้น ด้วยการทำงานหนัก
และประหยัด ซึ่งคงต้องใช้เวลานับจากนี้ไปอีกอย่างน้อย 2 ปี
หรือแม้แต่ของแถมโฆษณาที่เป็นหน้าปกนิตยสารฟอร์จูนฉบับเดือนกันยายน ที่อุทิศให้กับประเทศไทย
ด้วยบริบทที่ว่า "ประเทศไทยบนหนทางสู่การฟื้นฟู ยาขนานเอกเพื่อเศรษฐกิจที่กำลังเจ็บป่วย"
พร้อมกับสารจากสถาพร กวิตานนท์ ที่มีถึงผู้อ่าน นิตยสารฟอร์จูน รวมถึงสาระสำคัญและการเสนอตัวเป็นศูนย์กลางตอบข้อซักถามด้านการลงทุนในประเทศไทย
นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ที่นำประเทศไทยทั้งประเทศออกโฆษณาเสริมสร้างภาพพจน์สู่สายตาชาวโลก
แม้สถาพร กวิตานนท์ เลขาธิการ บีโอไอ ในฐานะประธานอนุกรรมการบริหารโครงการเผยแพร่ภาพลักษณ์เศรษฐกิจไทย
จะไม่ได้มุ่งหวังการประชาสัมพันธ์ครั้งนี้มากนัก
เพียงแต่เป็นอีกหนทางหนึ่งในปฏิบัติการกู้ชาติ ที่ต้องถูกบันทึกในประวัติศาสตร์
แผนที่ส่งผลเป็นรูปธรรมชัดเจนอีกขั้น ก็เมื่อครั้งการประชุม World Bank -
IMF ที่ฮ่องกงเมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมามีการเปิดแถลงข่าวเรื่องภาพลักษณ์เศรษฐกิจไทยก่อนการประชุมเหล่าผู้ว่าการธนาคารทั่วโลก
1 วัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์ที่พิเศษสุดสำหรับการประชุมครั้งนี้
ผู้เข้าร่วมแถลงข่าวประกอบไปด้วย ทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โอฬาร ไชยประวัติ ประธานสมาคมธนาคารไทย ชาติศิริ
โสภณพานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ (มหาชน) จำกัด และสถาพร กวิตานนท์
เลขาบีโอไอสรุปประเด็นการแถลงข่าวของไทยในเวทีโลกครั้งนี้ว่า การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ
แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าได้เพราะช่วยระดมเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาในไทยได้มากขึ้น
แถลงการณ์ครั้งนี้ได้สร้างทัศนคติที่ดีต่อสื่อมวลชนต่างชาติ ที่ยอมรับข้อผิดพลาด
พร้อมกับรับปากที่จะเร่งแก้ไขและฟื้นฟูตามกรอบของไอเอ็มเอฟ
และสิ่งที่สื่อมวลชนต่างชาติสนใจมากกว่าก็คือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจของมาเลเซีย
ที่อยู่ในช่วงขาลงเช่นเดียวกันกับไทยและในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเรื่องท่าทีของ
ดร. มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียที่มีต่อนายจอร์จ โซรอส นักค้าเงินของสหรัฐฯ
ที่เข้าร่วมประชุม World Bank - IMF ครั้งนี้
แม้ฝ่ายไทยจะไม่มีความคิดเห็นต่อท่าทีของฝ่ายมาเลเซียกับนักค้าเงินข้ามชาติ
แต่กรณีพิพาทที่เกิดขึ้นของทั้ง 2 ฝ่ายกลายเป็นเรื่องที่ทำให้สื่อมวลชนเปลี่ยนประเด็นด้านวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยไปเป็นมาเลเซียแทน
ผลต่อภาพลักษณ์ของไทยจึงดูดีขึ้นมาก
นอกจากการเปิดแถลงข่าวที่ฮ่องกง ก็ยังมีการลงโฆษณาเผยแพร่ข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันในหนังสือพิมพ์
South China Morning Post ที่ออกจำหน่ายในช่วงระหว่างการประชุม World Bank
- IMF เป็นเวลา 2 วัน
การประชาสัมพันธ์เพื่อยอมรับบาดแผลทางเศรษฐกิจและอาการที่กำลังเจ็บหนักนี้
กลับกลายเป็นเรื่องที่ดี เพราะถึงอย่างไรยังมีความเชื่อมั่นจากต่างประเทศว่า
วงจรเศรษฐกิจขาลงของไทย เป็นเรื่องที่สามารหาทางออกได้
บทบาทที่ปรับเปลี่ยนไปของบีโอไอ จึงกลายเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสให้เบาบางลงได้บ้าง
นอกเหนือจากการรอคอยให้รัฐบาลเร่งตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชัดเจน
เพื่อให้เป็นไปตามเนื้อหาที่ได้ประชาสัมพันธ์สู่สายตาชาวโลกแล้ว