กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ติดบ่วงปัญหาการเมือง มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ในเดือนกุมภาพันธ์วูบกว่า 332 ล้านบาท ค่ายบัวหลวง-กสิกรไทย-ไทยพาณิชย์ นำโด่ง ปรับพอร์ตการลงทุนจ้าระหวั่น
รายงานข่าวจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) ลดลงทุกค่ายจากบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ทั้งหมด 18 บลจ. โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมของกองทุน LTF ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 อยู่ที่ 15,385.63 ล้านบาท ลดลง 332.14 ล้านบาท จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 15,717.77 ล้านบาท ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทจัดการที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลงมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 1,276.37 ล้านบาท ลดลง 96.16 ล้านบาท จาก 1,372.54 ล้านบาท ในเดือนมกราคม
ส่วนบลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลงเป็นอันดับ 2 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3,862.03 ล้านบาท ลดลง 90.25 ล้านบาท จาก 3,952.29 ล้านบาท
ขณะที่บลจ.ไทยพาณิชย์ ลดลงเป็นอันดับ 3 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 4,096.89 ล้านบาท ลดลง 46,282.19 ล้านบาท จาก 4,143.18 ล้านบาท ในเดือนมกราคม
สำหรับสาเหตุที่ทำให้มูลค่าการลงทุนในกองทุน LTF ลดลง เป็นปัจจัยมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลถึงการลงทุนในตลาดหุ้นตลอดเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ลงทุนบางส่วนไถ่ถอนหน่วยลงทุนออกมา แล้วโยกเงินไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า และมีผลกระทบจากความไม่แน่นอนของปัญหาการเมืองน้อยกว่า เนื่องจากผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งยังแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกด้วย
“ต้องยอมรับว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ได้ฉุดผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้นระยะยาวเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้ผู้จัดการกองทุนต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน ด้วยการโยกเงินบาทส่วนลงทุนในตราสารหนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าช้อนซื้อหุ้นบางตัวที่มีพื้นฐานแกร่ง ซึ่งราคาปรับตัวลดลงอย่างมาก”
สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงจับตาทิศทางการเมืองว่าท้ายที่สุดแล้วการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2549 จะมีขึ้นหรือไม่ เพราะกระแสข่าวลือมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือการปฏิวัติรัฐประหาร หรือการประกาศลาออกของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยที่เตรียมจัดชุมนุมประท้วงที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 5 มีนาคมนี้ และประกาศจุดยืนชัดเจนในการขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ออกจากเวทีการเมือง ส่งผลให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจับตามองว่า ท้ายที่สุดแล้วปัญหาทางการเมืองจะจบในรูปแบบไหน ซึ่งทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นค่อนข้างซบเซาในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) กองทุน LTF ในเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทจัดการกองทุนที่มีบริษัทแม่เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ยังคงมีมาร์เก็ตแชร์ในอันดับต้นๆ โดยบลจ.ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงสุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย อันดับ 1.บลจ.ไทยพาณิชย์ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 4,096.89 ล้าน บาท อันดับ 2.บลจ.กสิกรไทย 3,862.03 ล้านบาท อันดับ 3. บลจ.ทหารไทย 1,297.89 ล้านบาท อันดับ 4.บลจ.บัวหลวง 1,276.37 ล้านบาท
อันดับ 5.บลจ.อเบอร์ดีน 941.33 ล้านบาท อันดับ 6. บลจ.ธนชาต 629.92 ล้านบาท อันดับ 7. บลจ.เอเจเอฟ 560.45 ล้านบาท อันดับ 8. บลจ.ทิสโก้ 536.11 ล้านบาท อันดับ 9.บลจ.ยูโอบี (ไทย) 353.73 ล้านบาท และอันดับ 10. บลจ.ไอเอ็นจี โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 315.94 ล้านบาท
|