|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.กสิกรไทย ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ 1% พร้อมขยายฐานลูกค้าเพิ่มนักลงทุนสถาบันจากเดิม 10% เป็น 40% เตรียมให้บริการอินเตอร์เน็ตเทรดดิ้งกลางเดือนนี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วประมาณ 2 บริษัท โดยรายแรกนำร่องภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ระบุหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อยจากภาวะตลาดผันผวนได้แก่กลุ่มแบงก์-พลังงาน-หุ้นปันผลที่ดี
นายรพี สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาด (มาร์เกตแชร์)ที่ระดับ 1% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านซึ่งอยู่ที่ 0.30% พร้อมเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันจากเดิมอยู่ที่ประมาณ 10% เป็น 40% โดยปัจจุบันมีลูกค้าเป็นนักลงทุนสถาบันแล้ว 4 รายทั้งกองทุนในประเทศและบริษัทประกันภัย ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนลูกค้าสถาบันในปีนี้ให้เป็น 10 บริษัท ขณะที่จำนวนบัญชีลูกค้าตั้งเป้าเพิ่มอีก 5,000 บัญชีจากปัจจุบันมีบัญชีลูกค้าประมาณ 2,000 บัญชี
ทั้งนี้บริษัทเตรียมที่จะเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง)จากปัจจุบันที่มีอยู่ 55 คนจะเพิ่มอีก 50 คนเพิ่มรองรับการขยายฐานลูกค้าและการเปิดสาขาใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างการเลือกทำเล โดยจะเลือกในบริเวณที่มีกลุ่มลูกค้านักลงทุนแน่นอน เช่น สุขุมวิท สีลม หรือ สาทร เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทเตรียมที่จะเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตเทรดดิ้ง โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มให้บริการได้ช่วงกลางเดือนนี้
สำหรับงานทางด้านวาณิชธนกิจ ปัจจุบันบริษัทมีงานทางด้านการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 1-2 รายซึ่ง 1 รายคาดว่าจะสามารถเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงไตรมาส3/2549 ซึ่งอาจจะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องการเข้าจดทะเบียนได้เพราะจะต้องรอจังหวะที่เหมาะสม แต่หากจะต้องมีการเลื่อนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ออกไปก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบเพราะบริษัทมีธนาคารเป็นบริษัทแม่ ซึ่งสามารถอนุมัติเงินกู้ระยะสั้นเพื่อให้จ่ายในช่วงที่รอการเข้าจดทะเบียนได้
นอกจากนี้บริษัทยังมีงานด้านการควบรวมกิจการอีกประมาณ 2 ราย ซึ่งบริษัทจะเน้นในธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ โดยอาศัยเครือข่ายจากธนาคารแม่เป็นหลัก
นายรพี กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน แต่สิ่งทีเกิดขึ้นอาจจะส่งผลกระทบบ้างในระยะสั้นกับบริษัทจดทะเบียนบางแห่งกลุ่มเท่านั้น แต่หากพิจารณาในระยะยาวเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ
ทั้งนี้สิ่งที่กระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงสั้น คงเป็นเรื่องการเลื่อนโครงการเมกะโปรเจกต์ออกไปจากเดิมที่คาดว่าจะสามารถเริ่มได้ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งในเรื่องดังกล่าวจะสะท้อนออกมาในรูปของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่จะไหลเข้ามาช้ากว่ากำหนดเดิมโดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนในโครงการดังกล่าวในช่วงปี พ.ศ.2550
นอกจากนี้เรื่องการเจรจาเปิดเสรีการค้าหรือเอฟทีเอ(FTA) ซึ่งจะต้องเลื่อนออกไปจากเดิมที่จะมีการตกลงกันช่วงกลางปี แต่เรื่องดังกล่าวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยากว่าจะได้ข้อสรุปเป็นอย่างไร ด้านภาวะตลาดหุ้นคาดว่าจะยังคงมีการผันผวนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยหลักยังคงไม่มีความชัดเจน ยังมีหลายเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้โดยตลอดซึ่งนักลงทุนจะต้องให้ความสนใจ ขณะที่หุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยจากปัจจัยทางการเมือง เช่น กลุ่มพลังงาน ธนาคาร และหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล เป็นต้น
|
|
|
|
|