Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 มีนาคม 2549
ไทยฟิล์มฯปรับแผนการตลาดหลังปี48ขาดทุนอีก400ล้านบาท             
 


   
www resources

โฮมเพจ ไทยฟิล์ม อินดัสตรี่-TFI

   
search resources

ไทยฟิล์ม อินดัสตรี่, บมจ.
วัลลภ คุณานุกรกุล
Plastics




ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ เจอภาวะถดถอยอุตสาหกรรมฟิล์มบรรจุภัณฑ์ทั่วโลก กดดันผลงานปี 2548 ทรุดหนัก ขาดทุนสุทธิกว่า 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอีก 37% พร้อมย้ายฐานการตลาดสู่ประเทศที่มีมาร์จินสูง

นายวัลลภ คุณานุกรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TFI กล่าวว่า ปี 2548 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 419.53 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.062 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 306.23 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.045 บาท หรือมีขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 113.30 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37.00%

สำหรับสาเหตุที่บริษัทมีผลประกอบการขาดทุนนั้น เกิดจากภาวะการณ์ถดถอยของอุตสาหกรรมฟิล์มบรรจุภัณฑ์ในตลาดโลก ทำให้เกิดอุปทานส่วนเกินในอุตสาหกรรม ส่งผลให้ราคาขาย บีโอพีพี ฟิล์ม ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควร ขณะที่เม็ดพลาสติก พี. พี. ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักมีราคาสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้ บีโอพีพี ฟิล์มของผู้ผลิตอื่นจำเป็นต้องขายในราคาต่ำกว่าทุนในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

"การแข่งขันที่รุนแรง และตัดราคาขายต่ำกว่าต้นทุน ทำให้ผู้ผลิตที่มีต้นทุนการผลิตสูง หรือผู้ผลิตรายใหม่ ที่ไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ ได้ปิดกิจการลงมากกว่า 20 รายในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา และบริษัทเองก็ประสบปัญหาการขาดทุนไปด้วย"

ขณะเดียวกัน บริษัทยังรับรู้ผลขาดทุนจากเงินลงทุน ซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสีย จำนวน 291.69 ล้านบาท เทียบกับ 324 ล้านบาทในปี 2547 สำหรับงบการเงินรวม และ 170.12 ล้านบาทเทียบกับ 317 ล้านบาทในปี 2547

ส่วนผลงานในปี 2548 นั้น บริษัทมียอดขายรวม 4,858 ล้านบาท เทียบกับปี 2547 ที่มียอดขาย 3,701 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,157 ล้านบาท หรือประมาณ 31% โดยขณะนี้ราคาขายได้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นในทิศทางเดียวกันราคาวัตถุดิบ (เม็ดพลาสติก พี.พี.) แต่การปรับราคาขายยังคงช้ากว่าการปรับราคาขายของวัตถุดิบ

พร้อมกันนี้ บริษัทได้ขยายตลาดไปยังตลาดที่มีราคาและกำไรต่อหน่วยสูงขึ้น เช่น ตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา ประชาคมยุโรป ยุโรปตะวันออก ไนจีเรีย แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย อเมริกาใต้ และลดการขายในตลาดล่างที่ไม่มีกำไร เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน จากที่มีส่วนแบ่งการตลาดส่งออกของบริษัทประมาณ 30 % ในอดีตเหลือ 5% หรือต่ำกว่าในปัจจุบัน

ด้านดอกเบี้ยจ่ายปี 2548 สูงกว่าดอกเบี้ยจ่ายในช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 27 ล้านบาท เนื่องจากดอกเบี้ยมีอัตราสูงขึ้น และบริษัทมีเงินกู้สำหรับสายการผลิตบี. โอ.พี.พี.สายการผลิตใหม่ อีกประมาณ 423 ล้านบาท ในปี 2547 แม้ว่าบริษัทจะได้ชำระเงินเงินกู้เป็นจำนวน 662.52 ล้านบาท ในปี 2548   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us