มอนิเตอร์ฐานะการเงินของบิ๊กอสังหาฯ"กฤษดาฯ" ขาดทุนบักโกรก 2,400 ล้านบาท หลังรายจ่ายพุ่งแซงหน้ารายได้ แถมขาดทุนจากการแก้ไขหนี้เกือบ 1,000 ล้านบาท ด้าน"เอ็นพาร์คฯ"ชี้รายได้หลักเกิดจากขายทรัพย์สิน 1,245 ล้านบาท ส่งผลขาดทุนเพิ่มแค่ 669 ล้านบาท
นายธเนศวร์ สิงคาลวณิช กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับปี2548ลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 2,411.57 เมื่อเทียบกับปี 2547 ที่ขาดทุน 273.35 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากทางบริษัทได้ทำการประเมินราคาของทรัพย์สินใหม่โดย บริษัทไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์(ประเทศไทย) จำกัด จึงทำให้เกิดผลขาดทุนจากการปรับราคาของทรัพย์สินตามราคาประเมิน และมีผลขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน 2 แห่งคือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารธนชาติ จำกัด(มหาชน) แต่ในอนาคตจะเป็นประโยชน์กับทางบริษัท เนื่องจากจะลดค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินดังกล่าว
ทั้งนี้ ตามงบการเงินของบริษัทระบุไว้ว่า ในปี 48 มีรายได้รวม 789.184 ล้านบาท (ปี47 รายได้ 510.073 ล้านบาท) ค่าใช้จ่ายรวม 2,200.922 ล้านบาท (ปี 47 ค่าใช้จ่าย 753.308 ล้านบาท) ขณะที่บริษัทมีรายการพิเศษขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้ 920.132 ล้านบาท ส่วนปี 47 มีกำไรจากรายการดังกล่าว 16.903 ล้านบาท
สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้จนถึงสิ้นปี 48 บริษัทและบริษัทย่อยได้ลงนามในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารและสถาบันการเงินรวมทั้งสิ้น 16 แห่ง ซึ่งมีมูลค่าตามบัญชีหนี้เดิมและดอกเบี้ยผิดนัด คิดเป็นจำนวนเงินประมาณในงบการเงินรวม 22,269 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินต้น 14,229 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่าย 8,040 ล้านบาท (งบการเงินเฉพาะบริษัท เงินต้น 20,648 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินต้น 13,073 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่าย 7,575 ล้านบาท)
ทั้งนี้ ภาระหนี้คงเหลือของยอดหนี้ส่วนที่ปรับโครงสร้างแล้วของบริษัทและบริษัทย่อย คิดเป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 2,084 ล้านบาทสิ้นปี 48 และ 3,597 ล้านบาทสิ้นปี47 (งบการเงินเฉพาะบริษัท 2,014 ล้านบาท และ 3,521 ล้านบาท) ตามลำดับ จำนวนเงินดังกล่าวประกอบด้วยเงินต้น 1,537 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่าย 547 ล้านบาท (งบการเงินเฉพาะบริษัท เงินต้น 1,487 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่าย 527 ล้านบาท) และ เงินต้น 2,813 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่าย 784 ล้านบาท (งบการเงินเฉพาะบริษัท เงินต้น 2,759 ล้านบาท และดอกเบี้ยค้างจ่าย 762 ล้านบาท) ตามลำดับ
นอกจากนี้ ในระหว่างปีที่ผ่านมา บริษัทนำที่ดินรอการพัฒนามูลค่าประมาณ 1,712 ล้านบาท จากราคาทุน 1,897 ล้านบาท สุทธิจากค่าเผื่อการด้อยค่า 185 ล้านบาท ตีทรัพย์โอนชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แล้ว แต่ยังไม่โอนกรรมสิทธิ์ ตามที่ระบุในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ บริษัทต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวภายในปี 2549 และณ วันที่ 31 ธันวาคม 48 และ 2547 บริษัทมีที่ดินรอการพัฒนาคงเหลือ จำนวน 7 โครงการ และ 8 โครงการ ตามลำดับ รวมต้นทุนที่ดินและงานพัฒนาคงเหลือ จำนวน 4,057 ล้านบาท และ 4,029 ล้านบาท ตามลำดับ โดยเป็นที่ดินรอการพัฒนาที่ได้รวมดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 6 โครงการ และ 5 โครงการ ตามลำดับ ซึ่งมีต้นทุนที่ดินและงานพัฒนาคงเหลือ จำนวน 2,734 ล้านบาท และ 2,326 ล้านบาท ตามลำดับ รวมกับดอกเบี้ยจ่ายที่ถือเป็นต้นทุนโครงการพัฒนาแล้ว จำนวน 1,690 ล้านบาท และ 1,671 ล้านบาท ตามลำดับ
ขายทรัพย์สินลดผลขาดทุนสูงลิ่ว
นายเสริมสิน สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 2,754.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.33% จากปี 47 ที่มีรายได้รวม 2,388.35 ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่าย (สุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) รวมจำนวน 3,424.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 449.49 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น15.11% จากปี 2547 ทำให้มีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 669.83 ล้านบาท เทียบกับปี 47 ขาดทุนสุทธิ 586.424 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนดีขึ้นจากเดิม 1.18 เท่าในปี 47 เหลือ 0.88 เท่าในปีที่ผ่านมา
|