|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.ภัทรชี้การเมืองยืดเยื้อฉุดGDP หดเหลือ 3-4% แม้ช่วงเลือกตั้งเงินสะพัดกระตุ้นเศรษฐกิจ “ศุภวุฒิ”เป็นห่วงหากมีการเปลี่ยนแปลงการเมือง แนะให้คงนโยบายที่ดีไว้ เผยนักลงทุนต่างชาติสับสนการเมืองมองไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยง เดินหน้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องจากราคาถูกมีผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในภูมิภาค พร้อมติดตามหลังเลือกตั้งประชาชนรู้สึกชอบธรรมหรือไม่
วานนี้ (2 มี.ค.)บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA จัดสัมมนา“เศรษฐศาสตร์จานร้อน ON TOUR ” ในหัวข้อเรื่อง “รู้ลึก...รู้จริง...ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2549” ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือPHATRA เปิดเผยว่า หากปัจจัยทางการเมืองยังคงยืดเยื้อและเมื่อมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนเสร็จเพื่อให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ แล้วจะต้องมีการยุบสภาอีกครั้ง จะส่งผลทำให้ไม่สามารถดำเนินการนโยบายทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องจึงทำให้การลงทุนของรัฐบาลและภาคเอกชนมีการชะลอ ก็จะส่งผลให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) โตเพียง 3-4%จากเดิมบล.ภัทรคาดว่าGDPปีนี้โต 4.5%
ทั้งนี้บล.ภัทรคาดว่าการลงทุนของภาครัฐบาลและเอกชนปีนี้จะโต 12% และการลงทุนดังกล่าวก็จะมีผลต่อ GDP 27-28 % หากปัจจัยทางการเมืองยืดเยื้อ 3- 6เดือนก็จะส่งผลให้การลงทุนปีนี้โตเพียง 6% ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจมีการชะลอ 1-2% แต่เมื่อมีการเลือกตั้งก็จะส่งผลให้มีการบริโภคมากขึ้น ในด้านการจัดทำโปสเตอร์ สิ่งพิมพ์ ทำให้มีเงินสะพัดประมาณ 5,000 ล้านบาท ก็จะช่วยทำให้GDP มีการเติบโต ได้ 0.5-0.8% ดังนั้นเมื่อนำมาหักลบกันแล้วเศรษฐกิจจะขยายตัวลดลงประมาณ 0.5-1.5% ซึ่งหากมีการเลือกตั้ง 3 ครั้งทำให้มีการใช้จ่ายและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจมีการเติบโตได้ซึ่งมองว่าเป็นผลดีที่น้อยกว่ามีการลงทุนที่จะมีผลดีในระยะยาวที่จะสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
แนะคงนโยบายเศรษฐกิจที่ดีไว้
สำหรับส่วนตัวมองว่าการปฏิรูปการเมืองถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่แรงกดดันทางการเมืองทำให้มีการโจมตีรัฐบาลและส่งผลให้มีการโจมตีนโยบายของรัฐบาลในด้านที่ดี กลายเป็นนโยบายที่ไม่ดี จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันถือว่าดีมีการดำเนินการรองรับกับกระแสโลกาภิวัตน์ เช่น การเปิดเสรีทางการค้า (FTA) กับประเทศ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และมีการดึงเม็ดเงินต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทำให้มีผู้นำคนใหม่เข้ามา ก็ควรที่จะคงนโยบายที่ดีไว้
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า จากปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นมองว่า การเจรจาFTA กับ สหรัฐอเมริกาจะยังไม่เกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไทยทำให้ประเทศไทยเสียส่วนแบ่งทางการตลาดในอเมริกา โดยไทยมีการส่งออกสินค้าไปอเมริกาคิดเป็น 10% ดังนั้นก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจมีการสะดุดและมีผลต่อเศรษฐกิจระยะยาว ดังนั้นไทยควรที่จะต้องเร่งให้มีการลงทุนทั้งนี้ใน 6 เดือนที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มีนโยบายที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขั้น เนื่องจากมีความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ แต่ล่าสุดจากปัจจัยทางการเมืองก็กังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโตเร็วเหมือนกับที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นจะต้องมีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน โดยมองว่า ธปท.จะมีการขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ 4.75% เท่านั้น
“มองว่าในการประชุมของธปท.ในเดือนนี้คาดว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย อีก 0.25% เป็น 4.50% และคาดว่าเม.ย.ธปท.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 4.75 ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดเพียงเท่านี้"
อย่างไรก็ตามในอีก 2-3 สัปดาห์จากนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก ซึ่งรัฐบาลก็พยายามให้มีการเลือกตั้ง และทำให้มีความชอบธรรม ซึ่งต้องรอหลังเลือกตั้งแล้วประชาชนมองว่าการเลือกตั้งดังกล่าวมีความชอบธรรมหรือไม่ ซึ่งหากมองว่าไม่มีความชอบธรรมก็จะเกิดการต่อต้านต่อไป แต่หากประชาชนมองว่ามีความชอบธรรมก็จะทำให้มีการแก้รัฐธรรมมนูญเกิดฉันทามติ รวมถึงทำให้เกิดความปรองดองในประเทศและสถานการณ์ต่างๆก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ
“ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายก็พยายามทำให้เกิดความชอบธรรม และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะกล่าวปราศรัยต่อประชาชนที่สนามหลวงวันที่ 3 มีนาคม และมีท่าทีอาจจะมีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นกระบวนการที่รัฐบาลดำเนินการ เพื่อให้เกิดความชอบธรรม ซึ่งก็ขึ้นกับความรู้สึกของประชาชนว่า จะเห็นว่าเป็นความชอบธรรมหรือไม่” นายศุภวุฒิ กล่าว
ต่างชาติไม่เข้าใจเหตุการณ์การเมือง
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า จากที่ได้มีการพบกับนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศก็มีการสอบถามในเรื่องสถานการณ์ทางการเมือง และไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นได้รับการเลือกตั้งมาด้วยคะแนนเสียงข้างมาก แต่ก็มีการต่อต้าน และการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN นั้นก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย และนายกก็มีการประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วทำไมยังมีการค่ำบาตร
สำหรับจากปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้นทำให้นักลงทุนไม่มีความเข้าใจ ซึ่งจากความไม่เข้าใจในเรื่องทางการเมืองนั้นนักลงทุนต่างประเทศก็มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นปัจจัยเสี่ยง ดังนั้นจึงทำให้นักลงทุนต่างประเทศยังคงลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะ ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติจึงมองหาหุ้นที่ดีเพื่อเข้ามาลงทุน มากกว่าที่จะมีการขายหุ้นออกไป โดย 2 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 80,000 ล้านบาท
“นักลงทุนต่างประเทศที่ไปไปพบนั้นเป็นกองทุนที่ลงทุนระยะยาว 60% เป็นนักลงทุนเฮจด์ฟันด์ 40% ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศนั้นมีความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศจริง โดยการที่มีเม็ดเงินต่างประเทศเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเซียมาก เพราะ ตลาดที่มีอัตราการเติบโตที่ดีของโลก และเศรษฐกิจในเอเซียเป็นแรงพลักดันให้เศรษฐกิจโลกมีการเติบโต เช่น จีน สินค้าที่มีราคาถูก และเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็มีเริ่มมีการฟื้นตัว โดยนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนมองว่าไม่ใช่นอมินี เพราะ ปกติแล้ว 15 ธ.ค.นักลงทุนต่างประเทศจะหยุดซื้อหุ้นเพื่อพักผ่อน แต่ในช่วงคริสต์มาสกองทุนต่างประเทศเข้ามาสอบถามข้อมูลดังนั้น เชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาไม่ใช่นอมินี”นายศุถวัฒิกล่าว
|
|
|
|
|