“คิวเฮ้าส์” ในเครือแลนด์ลั่นไม่หวั่นภาวการณ์เมืองล่ม เดินหน้าตามแผนลุยเปิดโครงการใหม่มูลค่าขายกว่า 15,000 ล้านบาท พร้อมเดินแผนตามภาวะตลาดเปิดบ้าน แบรนด์คาซ่า 7 โครงการ ราคาเฉลี่ย 4 ล้านบาท มูลค่ารวม 7,400 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปี 49 กว่า 10,000 ล้านบาท ด้านผู้บริหารโนเบิลฯลั่นปี 49 ปั๊มยอดขายโต 30-40% ทะลุ 2,700 ล้านบาท พร้อมเข็น 4 โครงการใหม่ มูลค่า 3,000 ล้านบาทเอาใจตลาด เล็งทุ่มงบ 1,000 ล้านบาทซื้อที่ดินพัฒนาต่อ เน้นใจกลางเมืองใกล้สถานีรถไฟฟ้า
นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2549 ว่า บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ในส่วนของบริษัทฯ และบริษัทคาซ่า วิลล์ จำกัด ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการที่เปิดการขายอยู่แล้ว จะมีมูลค่ารวมกว่า 25,000 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการใหม่ของบริษัทคิวเฮ้าส์ จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ โครงการลัดดารมย์ อิลิแกนซ์พระราม 5, ลัดดารมย์ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์, ลัดดารมย์ ราชพฤกษ์-วงแหวนสาทร, วรารมย์ พหลโยธิน-สายไหม, วรารมย์ แก้วนวรัตน์ เชียงใหม่, วรารมย์ เจริญเมือง เชียงใหม่ และโครงการลัดดารมย์ อิลิแกนซ์ศาลากลางเชียงใหม่ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 7,300 ล้านบาท
ในส่วนของบริษัท คาซ่า วิลล์ 7 โครงการ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ได้แก่ คาซ่า วิลล์ วัชรพล, คาซ่าวิลล์ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์, คาซ่า วิลล์ สุวรรณภูมิ, คาซาวิลล์ ศรีนครินทร์ และคาซ่า วิลล์ พระราม 2 มูลค่ารวม 5,600 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีทาวน์เฮาส์อีก 4 โครงการ ได้แก่ คาซ่า ซิตี้ เอกมัย-รามอินทรา-สุคนธสวัสดิ์ 1, คาซ่า ซิตี้ เอกมัย-รามอินทรา-โยธินพัฒนา 1, คาซ่า ซิตี้ เอกมัย-รามอินทรา-นวลจันทร์ 1, คาซ่า ซิตี้ รามคำแหง ราคาเฉลี่ย 4 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่ารวมทุกโครงการ 1,800 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีที่ดินที่ซื้อมาแล้ว รองรับการพัฒนาโครงการในปี 2550 ได้แก่ โครงการของบริษัท คิวเฮ้าส์ ประกอบด้วย พฤกภิรมย์ รีเจนท์ ราชพฤกษ์-สาทร,ลัดดารมย์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า รวมมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาทและโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทคาซ่า วิลล์ ประกอบด้วย โครงการคาซ่า ซิตี้ เอกมัย-รามอินทรา-สุคนธสวัสดิ์ 2, คาซ่า ซิตี้ เอกมัย-รามอินทรา-นวลจันทร์ 2 มูลค่ารวม 800 ล้านบาท ในขณะเดียวกัน บริษัทได้ซื้อที่ดินจำนวน 2 ไร่ บริเวณซอยหลังสวน มูลค่า 500-600 ล้านบาทโดยจะพัฒนาเป็น Service Apartment ระดับ Super Hi-end จำนวน 38 ชั้น รวม 300 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,500-1,600 ล้านบาท โดยคิดอัตราค่าเช่าประมาณ 1,300-1,400 บาท/ตารางเมตร/เดือน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณไตรมาส 3 ของปีนี้
สำหรับงบประมาณในการซื้อที่ดิน บริษัทได้ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท โดย 2 เดือนที่ผ่านมา ใช้ไปแล้ว 1,000 ล้านบาท ส่วนรายได้เป้าหมายตั้งเป้าไว้ที่ 10,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 25% จากรายได้ในปี 2548 ที่มียอดรายได้ 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากค่าเช่าอาคารสูง 1,500 ล้านบาท และรายได้จากการขายบ้านและทาวน์เฮาส์ 8,500 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากการขายบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ แบ่งเป็นรายได้จากบริษัทคาซ่า วิลล์ ประมาณ 30% และรายได้จากบริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ 70%
นายรัตน์ กล่าวต่อว่า เหตุผลส่วนหนึ่งที่บริษัทขยายฐานตลาดสู่ระดับกลาง-ล่าง โดยการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ คาซ่า วิลล์ และคาซ่า ซิตี้ เป็นเพราะต้องการเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น หลังจากในปีที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรลดลงเนื่องจากไม่สามารถขึ้นราคาขายบ้านได้ ในขณะที่ต้นทุนในการก่อสร้างกลับเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทได้พัฒนาโครงการบ้านในระดับบนมาตลอด จึงต้องการจะขยับฐานตลาดมาระดับกลาง-ล่างเพิ่มขึ้น
ลั่นการเมืองล่มไม่กระทบยอดขายบ้าน
สำหรับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ นายรัตน์ ยืนยันว่า ไม่มีผลกระทบต่อยอดขายบ้านในระดับแต่อย่างใด เพราะสถานการณ์การเมืองเป็นเพียงเหตุผลประกอบส่วนหนึ่งในการตัดสินใจซื้อบ้านของผู้บริโภคเท่านั้น อีกทั้ง ภาวะเศรษฐกิจก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเมืองทั้งหมด แต่ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ อีก
“สาเหตุที่ทำให้บริษัทบางรายมียอดขายบ้านระดับบนชะลอตัวลง เป็นเพราะผู้ซื้อประเมินและคาดการณ์เศรษฐกิจในอนาคตไม่ดี อันเป็นผลมาจากน้ำมันและดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ในส่วนของบริษัทฯ มียอดขายในช่วงที่เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองยังคงเป็นปกติ และมียอดขายดีขั้นด้วยซ้ำในช่วงที่มีการชุมนุมประท้วงทางการเมือง” นายรัตน์ กล่าว
"โนเบิล"เร่งปั๊มยอดขาย
นายธงชัย บุศราพันธ์ กรรมการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE กล่าวคาดการณ์ถึงแนวโน้มผลประกอบการว่า ในปีนี้ประเมินยอดขายไว้ที่ 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30 - 40%จากยอดขายปีก่อนหน้า โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการขายโครงการต่อเนื่อง รวมถึงโครงการที่เตรียมเปิดใหม่ในปีนี้ " ปีที่ผ่านมา เรามียอดรับรู้รายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท แต่ปีนี้ก็น่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยในส่วนยอดขายน่าจะขยายตัวเพิ่ม 30 - 40%มาอยู่ที่ประมาณ 2,700 ล้านบาทซึ่งจากแนวโน้มอสังหาฯที่กำลังซื้อยังมีต่อเนื่องน่าจะทำให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้" นายธงชัย กล่าว
ทั้งนี้ ทางบริษัทฯมีแผนเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการและโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการโดยทางบริษัทฯยังเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางและระดับบนเป็นหลักโดยเฉพาะในทำเลย่านใจกลางเมือง
นายธงชัย กล่าวด้วยว่าในปีนี้ทางบริษัทฯเตรียมงบสำหรับลงทุนในการซื้อที่ดินพัฒนาเพิ่มเติมมูลค่า1,000 ล้านบาท โดยงบลงทุนดังกล่าวนำมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ รวมถึงการกู้ยืมจากสถาบันการเงินบางส่วนโดยทางบริษัทฯสนใจซื้อที่ดืนเพิ่มเติมในทำเลย่านใจกลางเมืองเป็นหลักโดยเฉพาะแนวเส้นทางรถไฟฟ้าเนื่องจากพบว่ากลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจในทำเลนี้เป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ทางบริษัทฯตั้งเป้ารักษาอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ไว้ในระดับ 0.8 เท่า ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงจากปีก่อนให้ได้แม้ว่าทางบริษัทฯจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในการพัฒนาโครงการต่อเนื่องและโครงการใหม่
'ปัจจุบันบริษัทฯมี D/E ประมาณ 0.8 เท่าและจะพยายามรักษาระดับของ D/E ให้ได้เท่านี้แม้มีการลงทุนเพิ่ม หรือกู้เงินบ้าง' นายธงชัย กล่าว
|