|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
โบรกเกอร์แนะจับตาหุ้นการเมือง อาจจะมีการดันราคาหุ้นปรับตัวขึ้นก่อนจะมีการเลือกตั้ง 2 เม.ย.นี้ หวังเตรียมเงินนำไปใช้ในการหาเสียง ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 4.23 จุด เหตุนักลงทุนยังไม่มั่นใจรอประเมินลงทุนหลังการชุมนุมครั้งใหญ่ 5 มี.ค.นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเพียง 340 ล้านบาท บล.นครหลวงไทย คาดกลุ่มสื่อโดยเฉพาะโทรทัศน์-สิ่งพิมพ์ จะกลับมาคึกคักอีกครั้งเนื่องจากได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณา ขณะที่บล.แอ๊ดคินซัน แนะชะลอการลงทุนเพราะประเมินสถานการณ์การเมืองยาก
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้(1 มี.ค.)ดัชนีตลาดหุ้นเปิดตลาดในแดนลบหลังปรากฎข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีจะเดินทางเข้าพบพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพื่อหารือถึงสถานการณ์ทางการเมือง ก่อนจะปรับตัวขึ้นเนื่องจากมีข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่มีหมายการเข้าพบดังกล่าว ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนปิดที่ 748.28 จุด เพิ่มขึ้น 4.23 จุด หรือ 0.57% ในรระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นมาสูงสุดของวันอยู่ที่ 751.48 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 739.94 จุด มูลค่าการซื้อขายตลอดวันอยู่ที่ระดับ 18,076.71 ล้านบาท
การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่ม ปรากฏว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 340.48 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 209.36 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 131.12 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยว่า ในช่วงใกล้ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายนนี้ จะต้องจับตาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นการเมือง ซึ่งอาจจะมีการดันราคาหุ้นให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เพื่อที่จะได้หาจังหวะที่เหมาะสมในการขายหุ้นทำกำไรออกมา เพื่อหวังนำเงินไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีตซึ่งใกล้ช่วงเลือกตั้งหุ้นการเมืองจะมีการซื้อขายในลักษณะเก็งกำไรกันอย่างคึกคัก
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันที่ยังถือว่าน่าจะยึดเยื้ออาจจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่ โดยประเด็นที่นักลงทุนจะต้องจับตาเป็นพิเศษ คือการนัดชุมนุมครั้งใหญ่ในวันที่ 5 มี.ค.นี้ เนื่องจากมีการประกาศว่าจะเป็นการชุมนุมครั้งสุดท้ายซึ่งคาดการณ์ได้ยากว่าจะได้ข้อสรุปแบบไหน
ทั้งนี้แม้ว่าปัจจัยทางการเมืองจะส่งผลต่อตลาดหุ้น แต่ในกลุ่มที่ได้รับผลดีจากการเลือกตั้งก็มีเป็นจำนวนมาก เช่น กลุ่มสื่อทางโทศทัศน์เนื่องจากได้รับเงินจากค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกลุ่มผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากในช่วงดังกล่าวการใช้จ่ายของประชาชนจะเพิ่มขึ้น
"การเข้ามาซื้อของนักลงทุนต่างชาติช่วงนี้ก็มองยากว่ามาจากกลุ่มใด แต่ยังเชื่อว่ามีนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนระยะยาวแน่นอน"นายสุกิจกล่าว
สำหรับหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องทางการเมือง โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่มีนักการเมืองเป็นผู้ถือหุ้น กลุ่มนี้ราคาหุ้นอาจมีการปรับเปลี่ยนที่คาดการณ์ได้ยาก เนื่องจากนักลงทุนจะต้องมีการประเมินผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้น หลังจากการเลือกตั้งว่าจะส่งผลต่อธุรกิจของบริษัทต่างๆเหล่านั้นอย่างไร
นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มชินคอร์ป แม้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีจะมีการขายหุ้นของมาทั้งหมด แต่คงสลัดภาพการเป็นหุ้นในกลุ่มการเมืองไม่ได้ แต่ทั้งนี้ที่ผ่านมาราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าว ถือว่ายังไม่ส่งผลต่อคะแนนเสียงของรัฐบาลมากนัก
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด(มหาชน)หรือ ASLกล่าวว่า การเคลื่อนไหวดัชนีวานนี้เพราะข่าวที่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีอาจจะเข้าพบพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษที่บ้านพักสี่เสาเทเวศน์เพื่อหารือแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนแนะนำนักลงทุนชะลอการลงทุนจนกว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะคลี่คลาย โดยให้แนวรับไว้ที่ 744 จุด และให้แนวต้านไว้ที่ 754 จุด
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีกระแสข่าวการเมืองว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีการเข้าพบพลเอกเปรม ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อยุติทางการเมืองที่ดีจึงทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งมูลค่าการซื้อขายวันนนี้ถือว่าหนาแน่น โดยหุ้นที่มีการปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่น คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ จะต้องมีการติดตามปัจจัยทางการเมืองเป็นหลักซึ่งจะส่งผลต่อภาวะการลงทุน ซึ่งหากมีข้อมูลที่มีข้อสรุปโดยเร็วก็จะส่งผลให้ดัชนีฯมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่หากการเมืองยังคงยืดเยื้อก็เป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดโดยมองแนวรับที่ 740-745 จุด แนวต้านที่ระดับ 753-755 จุด
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็กกล่าวว่า ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นบวก เนื่องจากมีกระแสข่าวลือในตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด ทั้งนี้หากข่าวเรื่องการลาออกของนายกฯ เป็นความจริงอาจจะส่งผลทำให้กระแสการต่อต้านลดลง
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติยังมีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากท้ายที่สุดแล้วพรรครัฐบาลก็จะเป็นชุดเดิมส่วน ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ทำให้นักลงทุนไม่แน่ใจว่าจะเข้ามาลงทุนเมื่อใด จึงเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอการลงทุนบ้าง
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นขนาดเล็ก และหุ้นที่มีลักษณะการลงทุนแบบเก็งกำไรเริ่มกลับมาได้รับความสนใจมากขึ้น ซึ่งหากจะพิจารณารายบริษัทจะพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับนักการเมืองหลายบริษัท
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในอดีตหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับทางการเมืองมักจะมีการเข้ามาเก็งกำไรในช่วงก่อนการเลือกตั้งเสมอ ซึ่งอาจจะสะท้อนได้ว่าการเข้ามาไล่ราคาเพิ่มนำเงินไปใช้ในการเลือกตั้งของกลุ่มทุนบางกลุ่ม
สำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้แม้ว่าจะมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่ 2 เม.ย. แต่วันดังกล่าวอาจจะไม่มีการเลือกตั้งเพราะอาจะต้องเลื่อนออกไป นักลงทุนจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีท่าทีกับเรื่องท่างการเมืองอย่างไร เนื่องจากคะแนนเสียงจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านถือว่ามีผลต่อความั่นใจของนักลงทุนมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม หุ้นที่น่าจับตาคือกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ถือว่ามีนักการเมืองเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก เช่น บมจ. ช.การช่าง หรือ CK, บมจ.อิตาเลี่ยนไทย ดิเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD, บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือ SC, บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น หรือ STEC เป็นต้น ว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไรแต่คาดว่าจะมีแรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนขาใหญ่เข้ามาลงทุนจำนวนมาก
|
|
|
|
|