บล.ซิกโก้ เผย เม็ดเงินต่างประเทศเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสิงคโปร์ ถึง 1 แสนล้านบาท ชี้ ต่างชาติซื้อลงทุนฟังไม่ขึ้น พร้อมตั้งข้อสงสัยต่างชาติซื้ออาจเป็นการดันราคาหุ้นเพื่อขายทำกำไร แจงเศรษฐกิจไทยโตไม่ถึง 5% จากผลกระทบการเมือง
วานนี้บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ซิกโก้ จัดสัมมนาในหัวข้อ เจาะลึกหุ้นกำไรดี -ปันผลเด่น และผ่ากลยุทธ์การลงทุนตราสารอนุพันธ์ ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ (บล.) ซิกโก้ จำกัด (มหาชน)หรือ SSEC เปิดเผยว่า จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย แจ้งว่า เม็ดเงินต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้นเป็นเม็ดเงินจากนักลงทุนสิงคโปร์ ถึง 100,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูง เพราะ 10 ที่ผ่านมาไม่เคยมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อถึง 7,000 -8,000 ล้านบาท
ทั้งนี้แต่นักลงทุนก็ควรที่จะระมัดระวังในการซื้อขายในขณะนี้ เพราะ การนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ซึ่งหากมองว่าเป็นการเข้ามาลงทุนนั้นเป็นเหตุผลมารองรับไม่เพียงพอ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้หรือที่นักลงทุนต่างประเทศต้องการที่จะมีการขายหุ้นไทย แต่ก่อนที่จะขายก็จะต้องมีการทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวสูงขึ้นเพื่อที่ให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนเพื่อที่จะทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นก็จะมีการขายหุ้นออกมา
นายเกียรติก้อง กล่าวว่า บริษัทคาดเศรษฐกิจไทยปี49จะมีการเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจาก ขณะนี้มีปัจจัยทางการเมืองที่ยังคงมีความไม่ชัดเจน และอาจะส่งผลต่อการเดินหน้าโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และจะมีผลทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากที่ผ่านมาเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้นไทยอยู่ที่ 3.8-3.9% ซึ่งถือว่าต่ำสุดในภูมิภาคเอเชีย โดยไม่ได้เป็นผลกระทบจากการเมืองแต่ปัจจัยพื้นฐานไทยอยู่ในระดับดังกล่าว
สำหรับหากปัจจัยการเมืองมีความยืดเยื้อและมีการเปลี่ยนแปลง จะส่งผลกระทบต่อ FTAไทยญี่ปุ่น ต้องมีการเลื่อนออกไป ซึ่งกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบ คือ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เพราะก่อนหน้านี้ตลาดคาดหวังว่าหากมีการเซ็นสัญญาFTA กับ ญี่ปุ่นกลุ่มดังกล่าวจะได้รับผลประโยชน์
อนึ่ง ข้อมูลจากการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วงม.ค. - ก.พ. 49 ระบุว่ามีการซื้อรวม 351,993.69 ล้านบาท ขาย 258,031.87 ล้านบาท หรือซื้อสุทธิ 93,961.82 ล้านบาท
|