บริวผับแต่ละแห่งจะมีกฎเกณฑ์ในการผลิตที่แตกต่างกัน อาทิ โพลาเนอร์ ยึดถือกฎ
"The Munich Law of Purity" ซึ่งถือเป็นกฎเหล็กที่มีอายุยาวนานมาตั้งแต่ปี
ค.ศ.1516 ที่กำหนดขึ้นโดย Duke Heinrich ที่ระบุให้วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเบียร์มี
3 ชนิดเท่านั้นคือ มอลต์ ซึ่งได้จากข้าวบาร์เลย์, ฮอป เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีดอก
และจะใช้เพียงส่วนที่เป็นดอกเท่านั้นในการผลิตเบียร์ ซึ่งจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดรสขมอันเป็นเอกลักษณ์ของเบียร์นั่นเอง
และส่วนสุดท้ายคือ น้ำบริสุทธิ์
ในขณะที่ ฮาร์ทมันส์ดอร์ฟเฟอร์ เบราเฮาส์ ยึดถือกฎแห่งความบริสุทธิ์ในการผลิตเบียร์
"Reinheitsgebot" ซึ่งถือเป็นกฎเกณฑ์ด้านอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่มีมาตั้งแต่ปี
ค.ศ.1516 เช่นเดียวกัน โดยกฎนี้ได้ระบุว่าเบียร์จะใช้วัตถุดิบเพียง 4 ชนิดในการผลิตเท่านั้น
ซึ่งวัตถุดิบ 3 ชนิดนั้นเหมือนกับโพลาเนอร์ หากแต่เพิ่มยีสต์ขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง
เนื่องจากยีสต์จะทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลในมอลต์ให้เป็นแอลกอฮอล์ทำให้เกิดกลิ่นรสเฉพาะตัวของเบียร์
และเบียร์ของที่นี่จะไม่ผ่านกระบวนการอื่นใดจะทำลายรสชาติ และคุณลักษณะของเบียร์
อาทิ กระบวนการกรองละเอียดและการพาสเจอร์ไรซ์ จึงทำให้เบียร์ฮาร์ทมันส์ดอร์ฟเฟอร์มีความสด
มัน และมีลักษณะขุ่น ไม่ใสเหมือนเบียร์ที่บรรจุขวดหรือกระป๋องที่ถูกกรองจนใสและผ่านกรรมวิธีพาสเจอร์ไรซ์เพื่อฆ่าเชื้อโรคทำให้สามารถเก็บเบียร์ไว้ได้นาน
แม้ว่าชื่อของกฎเกณฑ์ที่บริวผับแต่ละแห่งยึดถือจะไม่เหมือนกัน แต่กระบวนการกรรมวิธีในการผลิตเบียร์แทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย
โดยเริ่มต้นจาก
Mashing คือ การนำมอลต์มาตีเป็นผงและเติมน้ำและนำไปต้มใน Mash Tun ผสมจนได้
Mash ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวข้น
จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนของการ Lautering คือการย้าย Mash ที่ได้มาที่
Lauter Tun แล้วเติมน้ำให้ใสขึ้น พร้อมกรองเอากากออกจะได้ของเหลวที่มีรสหวานที่เรียกว่า
Wort และนำ Wort ไปต้มอีกครั้ง พร้อมทั้งเติมฮอปตามส่วน เมื่อต้มจนได้ที่ประมาณ
1-2 ชั่วโมง จึงกรองเอาแต่กากฮอปออก
ต่อจากนั้นก็ย้ายส่วนผสมทั้งหมดไปยัง Fermentation Tank เพื่อทำให้เย็น
และเติมยีสต์ลงไป (กรณีของฮาร์ทมันส์ดอร์ฟเฟอร์) ในระยะนี้จะเกิดการหมัก
ทำให้น้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์ ซึ่งในขั้นตอนการหมักนี้จะต้องมีการควบคุมอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมต่างๆ
ให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมตลอดเวลา โดยตามปกติจะใช้เวลาหมักประมาณ 1 สัปดาห์
และภายหลังจากหมักได้ที่แล้ว ก็จะกรองเอาแต่น้ำเบียร์ไปเก็บบ่มใน Larger
Tank ซึ่งจะเป็นการบ่มเบียร์ในอุณหภูมิที่ต่ำในเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้เบียร์มีรสชาติที่นุ่มและมีกลิ่นหอม
ขั้นตอนสุดท้ายหลังจากที่บ่มเบียร์ได้ที่แล้วก็จะย้ายเบียร์ไปเก็บไว้ยังถังจ่ายเบียร
์ซึ่งจะทำหน้าที่จ่ายเบียร์ไปยังหัวจ่ายที่บาร์ และพร้อมที่จะจำหน่ายต่อไปได้
รวมระยะเวลาขั้นตอนทั้งหมดก็ประมาณ 1 เดือนพอดี
ทั้งนี้คุณลักษณะของเบียร์แต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้
สายพันธุ์ของยีสต์ รวมทั้งรายละเอียดในการผลิตเบียร์ เช่น อุณหภูมิ และระยะเวลาในการต้ม
การหมัก การบ่ม และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความสามารถในการควบคุมการผลิตของบริวมาสเตอร์
(Brewmaster) ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อครัวใหญ่ของโรงเบียร์นั่นเอง ซึ่งในประเทศเยอรมนีผู้ที่จะมาเป็นบริวมาสเตอร์ได้จะต้องผ่านการฝึกอบรมจากสถาบันเฉพาะทาง
ดังนั้นบริวผับแต่ละแห่งในประเทศไทยจะมีบริวมาสเตอร์ที่มาจากต้นตำรับที่แต่ละแห่งยึดถือ
ซึ่งจะทำให้รสชาติของเบียร์ในแต่ละแห่งมีความเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างกันออกไป