ผู้ขออนุญาตหรือผู้ประกอบการธุรกิจเบียร์โรงเล็ก จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับเงื่อนไขการตั้งโรงงานเบียร์ประเภท
Brewpub ที่ทางกรมสรรพสามิตได้กำหนดไว้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
" ต้องมีกำลังการผลิตไม่น้อยกว่า 100,000 ลิตร แต่ไม่เกิน 1,000,000
ลิตรต่อปี
" ต้องตั้งอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม ไม่ใกล้สาธารณสถาน สถานที่ราชการ
วัด หรือโรงเรียน ในระยะห่าง 100 เมตร
" ต้องมีการติดตั้งระบบป้องกันปัญหามลภาวะตามที่กฎกระทรวง ฉบับที่
2 (2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535 ที่กำหนดไว้
" ภาชนะทุกชนิดที่จะนำมาใช้ในการผลิตและจำหน่ายเบียร์ นับตั้งแต่หม้อต้มเบียร์
ถังหมักเบียร์ ถังพักน้ำเบียร์ ไปจนถึงแก้วบรรจุเบียร์ จะต้องผ่านการตรวจวัด
และรับรองให้ใช้ได้โดยกรมสรรพสามิตแล้ว ทั้งนี้ ห้ามมิให้ใช้ภาชนะชนิดที่มีฝาปิดทำการบรรจุเบียร์เป็นเบียร์สำเร็จรูปเด็ดขาด
" ภายในโรงเบียรต้องจัดให้มีมาตรวัดปริมาณน้ำเบียร์ที่ออกจากถังพักเบียร์ทุกถัง
หากมาตรวัดปริมาณน้ำเบียร์ดังกล่าวชำรุดเสียหายจนไม่สามารถคำนวณปริมาณน้ำเบียร์ที่ปล่อยออกจากถังพักเบียร์ได้แน่นอน
ห้ามทำการจำหน่ายเบียร์ที่ผลิตได้ และในกรณีที่กรมสรรพสามิตเห็นสมควรให้มีการรายงานความเคลื่อนไหวของน้ำเบียร์ผ่านมาตรวัดไปยังกรมสรรพสามิต
โดยระบบ online ผู้ได้รับอนุญาตจะต้องดำเนินการตามความประสงค์ภายในเวลาที่กรมสรรพสามิตกำหนดให้
" ต้องจัดทำบัญชีควบคุมการผลิตเบียร์ ตั้งแต่การนำวัตถุดิบเข้ามาเก็บรักษา
เพื่อผลิตเบียร์ การนำวัตถุดิบไปป่นหรือย่อย การต้มวัตถุดิบการหมักเบียร์
การกรองเบียร์ การเก็บบ่มน้ำเบียร์ในถังพัก ตลอดจนปริมาณน้ำเบียร์ที่จำหน่ายผ่านมาตรวัด
เมื่อสิ้นทุกวัน เพื่อเจ้าพนักงานสรรพสามิตสามารถตรวจสอบได้ทุกเวลา
วิธีการขออนุญาตตั้งโรงเบียร์ Brewpub
สิ่งที่ผู้ขออนุญาตฯ จะต้องเตรียมมาเสนอต่อกรมสรรพสามิตก็คือ เหตุผลในการขอตั้งสถานที่จะขอตั้งและสภาพแวดล้อม
แผนผังสถานที่ตั้งและแบบแปลนเครื่องจักร งบประมาณในการลงทุน เครื่องจักร
อุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งสูตรการทำเบียร์
นอกจากนั้น ผู้ขออนุญาตต้องเตรียมเอกสารเพื่อยื่นเรื่องขออนุญาตสร้างโรงงานต่อกรมโรงงานด้วย
รวมทั้งต้องศึกษาข้อปฏิบัติตามระเบียบราชการ อาทิ เกณฑ์การชำระภาษีและการติดมิเตอร์
เป็นต้น
จากนั้นเมื่อผู้ขออนุญาตฯ ไดรับการอนุมัติให้ก่อตั้งโรงงานเบียร์เรียบร้อยแล้วก็ต้องมีการทำสัญญากับกรมสรรพสามิต
โดยภายในสัญญาระบุว่าต้องสร้างโรงงานให้เสร็จและพร้อมเปิดทำการได้ภายใน 9
เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานจากกระทรวงอุตสาหกรรม
สำหรับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการทำสัญญา แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ เงินค้ำประกันการก่อสร้างจำนวน
1 ล้านบาท ซึ่งเมื่อโรงงานก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และสามารถจำหน่ายได้แล้ว ทางกรมฯ
จะคืนเงินส่วนนี้ให้ และค่าใช้จ่ายส่วนที่ 2 ก็คือ เงินค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญา
จำนวน 500,000 บาท โดยเงินส่วนนี้ทางกรมฯ จะเก็บไว้จนกว่าจะเลิกกิจการ
หลังจากสร้างโรงงานเสร็จแล้วผู้ประกอบการจะต้องขอในอนุญาตอีกทั้งหมด 3
ใบ คือ ใบอนุญาตการทำสุรา ตามมาตรา 5 ของกรมสรรพสามิต โดยเสียค่าธรรมเนียมปีละ
4,000 บาท ใบอนุญาตทำเชื้อสุราสำหรับใช้ในโรงงาน มูลค่า 300 บาทต่อปี และใบอนุญาตขายสุราปลีก
ป.4 มูลค่า 110 บาท และ ป 3. มูลค่า 1,650 บาท กรณีที่ภายในร้านมีการจำหน่ายสุราต่างประเทศด้วย
นอกจากนี้ ต้องแจ้งกรรมวิธีการผลิต ภาชนะที่บรรจุและตัวอย่างเบียร์ เพื่อการวิเคราะห์ก่อนรวมถึงต้องแจ้งราคา
ณ โรงงาน ก่อนทำการจำหน่ายล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน
ทั้งนี้ ผู้ได้รับอนุญาตจะต้องจัดธนาคารสำหรับค้ำประกันการชำระภาษีเบียร์
อย่างน้อยเท่ากับค่าภาษีเบียร์สำหรับกำลังการผลิตเบียร์ในระยะเวลา 1 เดือน
ส่วนการชำระภาษีเบียร์นั้นให้ชำระตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงสัปดาห์ละครั้ง
โดยคำนวณจากปริมาณน้ำเบียร์ที่ผ่านมาตรวัด ซึ่งอัตราภาษีเบียร์ที่กำหนดไว้คือ
ร้อยละ 48 ของราคา ณ โรงงาน หรือราคาลิตรละ 48 บาทนั่นเอง ทางผู้ประกอบการต้องเสียภาษีนี้ก่อนการจำหน่ายทุกครั้ง
และสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องจัดทำทุกเดือน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกรมฯ
ทำการตรวจทุกเดือนก็คือ บัญชีการผลิต การใช้วัตถุดิบรวมทั้งยอดการจำหน่ายให้เสร็จภายในวันที่
10 ของเดือนถัดไปเป็นประจำ
เป็นที่สังเกตว่า ขั้นตอนการขออนุญาตค่อนข้างจะละเอียดถี่ถ้วน แต่เมื่อผ่านการะบวนการทั้งหมดนี้ครบทุกขั้นตอนแล้ว
คุณก็จะกลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเบียร์โรงเล็ก หรือ Brewpub รายใหม่ทันที