Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน27 กุมภาพันธ์ 2549
เปิดสมุดปกดำ กฟผ. ขายชาติ-ปันหุ้น-ฮุบสายส่ง             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)
โฮมเพจ พรรคประชาธิปัตย์

   
search resources

Electricity
พรรคประชาธิปัตย์
กฟผ., บมจ.




ประชาธิปัตย์ออกสมุดปกดำ แฉเงื่อนงำการแปรรูป กฟผ. ให้ประชาชนทราบ ปล้นไฟฟ้ากลางแดดขายสมบัติชาติ หวังปั่นตลาดหุ้นเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของพวกพ้อง แถมกิจการโทรคมนาคมได้ประโยชน์ด้วย

ใจความของสมุดปกดำ ที่ทางพรรคประชาธิปัตย์จัดทำขึ้น เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน มีใจความโดยสรุปว่า เดิมนั้น กิจการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการโดยภาครัฐ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง ป้องกันการผูกขาดในอันที่จะเอาเปรียบประชาชน ซึ่งมี หน้าที่ในการสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ โรงไฟฟ้า สายส่งไฟฟ้า และอุปกรณ์หลักอื่นๆ และจัดหาพลังงานไฟฟ้าให้แก่ประชาชน

ขายไฟฟ้าปั่นตลาดหุ้น

นโยบายหลักคือผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน มีระบบไฟฟ้าที่มั่นคงเชื่อถือได้และราคาเหมาะสม แต่เมื่อมีการแปรรูปแบบทักษิณเกิดขึ้น วัตถุประสงค์แต่ต้นของ กฟผ. และกิจการไฟฟ้าของชาติเปลี่ยนไป เพราะเป้าหมายคือ แปรรูปเพื่อเอาไฟฟ้าของรัฐที่มีมูลค่าสูงเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ตลาดหุ้นโตขึ้นเป็นเป้าหมายหลัก

ข้อเท็จจริงคือ มีความคาดหวังว่า ถ้า กฟผ.เข้าตลาดนั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯจะเพิ่มไปถึงระดับ 800 จุด จากประมาณ 720 จุด นั่นคือเพิ่มขึ้นราวๆ 11% ดังทรัพย์สินของกลุ่มทุนในรัฐบาลก็จะเพิ่มขึ้นด้วยจำนวนมากเช่นกัน

เพราะฉะนั้น ผลประโยชน์เกือบทั้งหมดของการ ขายหุ้น กฟผ.นั้น จะตกอยู่ในมือคนจำนวนน้อยมาก และส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการกำหนดนโยบายของรัฐบาล ในขณะที่ประชาชนทั้งประเทศจะต้องแบกรับภาระโดยตรง

หนังสือชี้ชวนการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไป ระบุ ถ้าระหว่างปี 2548-2553 กฟผ. ได้รับสิทธิที่จะลงทุนในการก่อสร้าง 4 โรงไฟฟ้าใหม่มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 67,388 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนอื่นๆ เช่นลงทุนในการปรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเก่าๆ 1,837 ล้านบาท และที่เหลืออีกประมาณ 120,000 ล้านเป็นการลงทุนในระบบสายส่งทั้งสิ้น โดยเป็นโครงการลงทุนกำหนดแล้วเสร็จปี 2558

‘ประเมินต่ำ-ขายแพง กินกำไร

ปัญหาการแปรรูป กฟผ. ในแบบทักษิณ คือ ยังคงผูกขาดกิจการไฟฟ้าให้อยู่ในมือของบริษัทไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจำกัด (มหาชน) ซึ่งมีภาคเอกชนเข้ามาถือหุ้น โดยมีการผูกขาดทั้งการซื้อและขายไฟฟ้า รวมถึงการใช้อำนาจบริษัทดังกล่าว เพื่อลิดรอนสิทธิของประชาชน ประกอบกับยังไม่มีหน่วยงานอิสระที่มีอำนาจชอบธรรมตามกฎหมายเข้ามากำกับดูแลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชน

นอกจากนี้ มีการประเมินราคาสินทรัพย์ที่เป็นของชาติและของประชาชนไปขายในราคาถูก มีการประเมินจาก ดร.ภูรี สิรสุนทร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า กฟผ. ควรมีมูลค่าแท้จริง 3.7 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลประเมินเอามาขาย 2.8 แสนล้านบาท เท่ากับว่าเป็นการขายเลหลัง ทำให้มูลค่าหายไปกว่า 3.5 ล้านล้านบาท

กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคต เสนอข้อมูลว่า การประเมินมูลค่าทรัพย์สินของระบบสื่อสารเพื่อควบคุมระบบไฟฟ้า (ไฟเบอร์ออปติก)ไว้เพียง 2,241.4 ล้านบาท โดยไม่มีการประเมินมูลค่าในอนาคต ซึ่งบางฝ่ายคาดว่าน่าจะมีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท
ตัวอย่างที่เห็นอย่างชัดเจนอีกอย่างคือ พนักงาน กฟผ.ได้รับจัดสรรหุ้นไปแล้วกว่า 500 ล้านหุ้น ในราคา หุ้นละ 10 บาท มีการประเมินว่าราคาขายหากเข้าตลาดน่าจะอยู่ที่ 25-28 บาทต่อหุ้น ฉะนั้น หากเป็นเช่นนี้ กำไรของพนักงานจะมีเกือบ 10,000 ล้านบาท แต่ในที่สุดก็มีปัญหาเพราะ กฟผ. ไม่สามารถกระจายหุ้นได้ตามกำหนด ทำให้ในส่วนของพนักงาน มีปัญหาในกรณีที่กู้เงินมาซื้อหุ้น ต้องถูกคิดดอกเบี้ย

บิดเบือนหวังฮุบสายส่ง

ระบบสายส่งของ กฟผ.ที่เชื่อมโยงระหว่างจังหวัด กับจังหวัด เมื่อรวมกับสายส่งของ กฟน.และกฟภ. ที่โยงสายส่งของ กฟผ. เข้าสู่บ้านเรือนในแต่ละท้องที่ ทำให้เครือข่ายของการไฟฟ้าทั้งสามแห่ง นับเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมได้ดีที่สุดและพร้อมที่จะใช้ในการพาณิชย์ได้ทันที

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจการโทรคมนาคมต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากระบบสายส่งนี้เพื่อทำกำไรให้มากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะเทคโนโลยีในอนาคตจะเป็นระบบส่งผ่านข้อมูลผ่านใยแก้วนำแสง ซึ่งสามารถส่งผ่านข้อมูลในระบบดิจิตอล และสามารถประยุกต์ใช้ได้ในธุรกิจหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเคเบิลทีวี ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ธุรกิจโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

อ้างขยายการลงทุน

ข้ออ้างหนึ่ง ที่รัฐบาลนำมาใช้เพื่อประกาศความชอบธรรมในการนำการไฟฟ้าเข้าตลาดหุ้น คือ ต้องการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าอีก 4 โรง ภายใน 4 ปี และข้ออ้างที่ 2 คือ ต้องการใช้เงินลงทุนถึง 200,000 ล้านบาท

ทั้งสองข้ออ้างข้างต้นจึงเป็นการบิดเบือน ความจริง เพราะจริงๆ แล้ว กฟผ. ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าเลย เพราะเอกชนพร้อมจะสร้างเอง แต่รัฐบาลได้มอบโอกาสให้ กฟผ. เพื่อเป็นการแสดงให้นักลงทุนที่จะมาซื้อหุ้นว่า กฟผ.แต่ผู้เดียวมีโอกาสขยายกำลังการผลิต เท่ากับการันตีราคาหุ้นที่จะสูงขึ้นในอนาคต ส่วนเงิน 200,000 ล้านบาท ที่อ้างนั้น จริงๆ รวมถึงการลงทุนเพื่อใช้ระบบสายส่ง เป็นส่วนใหญ่

ประเด็นหนึ่งที่มักนำมาอ้างเสมอโดยเฉพาะการแปรรูป ก็คือการอ้างว่า การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะเพิ่มการตรวจสอบและเพิ่มความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการองค์กร ตามลำดับ

แต่การตรวจสอบและความโปร่งใสจะมีได้ ต้องมีการปรับองค์กรก่อนที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกรณีของ กฟผ. อย่างน้อยที่สุดต้องแยกให้เห็นว่า โรงไฟฟ้าไหนมีกำไรเท่าใด รายได้และค่าใช้จ่ายแบ่งกันอย่างไร ระหว่างฝ่ายผลิตและฝ่ายอื่นๆ แต่ กฟผ. มหาชน มีโครงสร้างที่ไม่ต่างจาก กฟผ. เมื่อเป็นรัฐวิสาหกิจเลย เพราะฉะนั้นความโปร่งใสมาจากไหน?

"เราเพียงดูตัวอย่างจากการบินไทยหรือธนาคารกรุงไทย ก็คงให้คำตอบแก่เราได้แล้วว่าการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหรือความโปร่งใสให้แก่องค์กรและไม่สามารถตัดอิทธิพลการเมืองออกไปความโปร่งใสมีได้ โดยไม่ต้องพึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯถ้ารัฐบาลเอาจริง"

ขายสมบัติชาติ

ปัจจุบัน กฟผ. ใช้พลังน้ำในการผลิตไฟฟ้ากว่า ร้อยละ 4-5 ของความต้องการไฟฟ้าของประเทศ เพราะโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศไทยมีต้นทุนต่ำ เนื่องจากเขื่อนส่วนใหญ่ก็มีอายุกว่า 30-40 ปี จึงมีการหักค่าเสื่อมในการก่อสร้างจากบัญชี การเงินของบริษัทไปแล้ว อีกทั้งการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำยังไม่มีค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง เขื่อนจึงมีบทบาทสำคัญในการลดต้นทุนการจัดหาไฟฟ้าให้กับประชาชน และการสร้างเสถียรภาพให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศโดยรวม

"ทางเดินของสมบัติชาติสู่มือนายทุนโดยแท้ จากการไฟฟ้ายันฮีตั้งแต่ปี 2500 กว่า 40 ปี ที่การไฟฟ้ายืนยันบทบาทด้านพลังงานเพื่อประชาชนวันนี้บทบาทนั้นกำลังเปลี่ยนไปสิ้นเชิงŽ

ในกรณีการขายหุ้น กฟผ. ไปสู่นักลงทุนเอกชนย่อมไม่เป็นการสมควรที่จะนำทั้งทรัพย์สินและรายได้จากการผลิตไฟฟ้าจากทรัพยากรน้ำไปขายด้วย เนื่องจากเขื่อนและอ่างเก็บน้ำนั้นล้วนแล้วแต่ได้มาจากการเวนคืนเพื่อสาธารณประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำกำไรให้กับเอกชน

"การนำทรัพย์สินเขื่อนและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯจึงเป็นการปล้น ประชาชนที่ต้องโยกย้ายถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอนในครั้งนี้มีการเวนคืนที่ดิน ไปเปลี่ยนแปลงกำไรให้กับกลุ่มทุนและกลุ่มอำนาจไม่กี่คน"

ค่าไฟแพงขึ้น

โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน ที่กำหนดสูตรการคิดค่าไฟฟ้า กำหนดใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 ซึ่งได้มีศัพท์เทคนิคเพิ่มมาใหม่ ที่เรียกว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ ROIC

การกำหนดอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนหรือ ROIC นั้น เป็นผลพวงมาจากแผนการขายหุ้นเพราะรัฐบาลต้องคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถขายหุ้นของ กฟผ.ได้สำเร็จ คำตอบก็คือต้องขึ้นอยู่กับความสนใจของนักลงทุน และนักลงทุนจะสนใจก็ต่อเมื่อเห็นได้ชัดว่ามีอัตราผลตอบแทนที่คุ้มค่า

นี่คือที่มาของการกำหนดอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ ROIC ของ กฟผ. ที่อัตราร้อยละ 8.4 เพื่อให้ได้ราคาหุ้นที่อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่ามูลค่าราคาหุ้นทางบัญชี เพื่อปิดช่องทางในการถูกโจมตีว่านำหุ้นของรัฐวิสาหกิจไปเสนอขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าบัญชี เป็นการมุ่งผลักดันให้การเสนอขายหุ้นของ กฟผ.ประสบความสำเร็จนั้น โดยรัฐบาลไม่ได้สนใจผลกระทบต่อผู้บริโภคเลยแม้แต่น้อย
"ในการขยายสายส่งไปสู่ผู้ใช้ไฟทั่วประเทศยกเว้นในเขตนครหลวงและปริมณฑล ซึ่งในปัจจุบันนั้น กฟผ. ไม่มีภาระที่ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับ กฟภ. แต่ให้ผลักภาระให้กับ กฟน. เป็นผู้จ่ายเงินชดเชยรายได้ให้กับ กฟภ. ในแต่ละปีประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระทางการเงินที่สูงมากสำหรับ กฟน. ดังนั้นในอนาคตประชาชนจะต้องเป็นผู้รับภาระหากฐานะทางการเงินของ กฟน. และ กฟภ. ซึ่งยังคงเป็นองค์กรของรัฐทรุดโทรมลงกว่าในปัจจุบัน"

ประเด็นเรื่องโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า เป็นเรื่อง ที่สำคัญมากในกระบวนการแปรรูป กฟผ. เพราะเป็น เรื่องยากที่ประชาชนจะเข้าไปตรวจสอบสถานะการดำเนินงาน การจัดหมวดหมู่ต้นทุนการดำเนินงาน รวมทั้งประสิทธิภาพในการดำเนินงาน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหน่วยงานที่เรียกว่าองค์กรกำกับดูแล เข้ามาดูแลคุ้มครองผู้บริโภคโดยองค์กรกำกับดูแลจะมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ได้อย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าไม่มีการผลักภาระต้นทุนอันเกิดจากการดำเนินงานที่ไม่มีประสิทธิภาพมาให้กับผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น

บทเรียนจาก ปตท.

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เขียนบทความเรื่อง "บทเรียนจากการแปรรูป ปตท. สู่การแปรรูป กฟผ." ระบุว่า ปัจจุบันผู้ถือหุ้น ปตท. นอกจากกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่เดิมแล้ว ยังมีนักลงทุนจากต่างประเทศทั่วโลกจึงไม่ทราบว่าใครได้ประโยชน์จากการแปรรูป ปตท. อย่างแท้จริง

"นักลงทุนเหล่านี้มาในรูปแบบของสถาบันบ้าง กองทุนบ้างหรือแม้แต่กองทุนส่วนตัว ที่ใช้ตัวแทน (Nominee) ตรงนี้แหละอันตราย เพราะมีเศรษฐีในไทยฝากเงินไว้ในต่างประเทศ และขอใช้สิทธิกองทุนลักษณะนี้ ในการซื้อหุ้นก่อนการขายเข้า ตลาด"

นั่นคือ ถ้าใช้เงินบาทของไทย หากซื้อทีละไม่เกิน 5,000-10,000 หุ้น แต่ถ้าเป็นคนไทย ที่ฝากเงินไว้ในต่างประเทศ ในลักษณะที่เรียกว่า Private Banking แล้วตั้งตัวแทน ใช้ชื่อกองทุนหรูๆ ผ่านสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียง ต้องการซื้อหุ้น ก็จะได้สิทธิซื้อหุ้นไอพีโอเป็นล้านๆ หุ้น เพราะจัดชั้นเป็นนักลงทุนต่างชาติ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us