Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน24 กุมภาพันธ์ 2549
หุ้นบ้านปูร่วงรับกำไรพลาดเป้า             
 


   
www resources

โฮมเพจ บ้านปู

   
search resources

บ้านปู, บมจ.
Energy




บ้านปู จ่ายเงินปันผลเพิ่มอีกหุ้นละ 4 บาท รวมทั้งปีจ่าย 12.50 บาท หลังผลงานปี 2548 กำไรสุทธิกว่า 5.5 พันล้านบาท สูงกว่าปีก่อนเกือบ 2 พัน หรือ 53% ผู้บริหาร แจงเกิดจากความต้องการถ่านหินมีสูงและแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ด้านโบรกเกอร์ วิเคราะห์กำไรต่ำกว่าคาดการณ์ คงเป้าหมายซื้อลงทุนระยะยาว ราคาเป้าหมาย 155 บาท ขณะที่ราคาหุ้นบนกระดานรูด ปิดที่ 145 บาท ลดลง 5 บาท

นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 2/2549 มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2549 ในอัตราหุ้นละ 12.50 บาท ซึ่งได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วหุ้นละ 3.50 บาท และจ่ายเงินปันผลพิเศษไปแล้วหุ้นละ 5.00 บาท คงเหลือจ่ายในงวดนี้อีกหุ้นละ 4.00 บาท

ทั้งนี้ เงินปันผล 4.00 บาท เป็นการแบ่งจ่ายจากกำไรของธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในอัตราหุ้นละ 1.90 บาท และจ่ายจากกำไรของธุรกิจที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในอัตราหุ้นละ 2.10 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 11 เมษายน 2549

อย่างไรก็ตาม การอนุมัติจ่ายเงินปันผลข้างต้นจะต้องผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทได้กำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2549 ในวันที่ 30 มีนาคม 2549 ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นในการเข้าประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2549 และการรับเงินปันผลในวันที่ 10 มีนาคม 2549

สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 นั้น บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 5,565 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 20.48 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,645 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 13.42 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1,920 ล้านบาท หรือประมาณ 53%

ส่วนรายละเอียดของผลงานปี 2548 นั้น บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 25,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 7,982 ล้านบาท หรือ 46% จากปริมาณและราคาขายถ่านหินเพิ่มขึ้น โดยรายได้ส่วนใหญ่เกิดจากการจำหน่ายถ่านหินรวม 25,047 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 99% ของรายได้จากการขาย ขณะที่ต้นทุนขายรวม 13,933 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,408 ล้านบาท หรือ 32%

ด้านฐานะทางการเงิน บริษัทมีสินทรัพย์รวม 45,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 5,550 ล้านบาท คิดเป็น 14% หนี้สินรวม 23,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,779 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41% และส่วนของผู้ถือหุ้น 21,886 ล้านบาท ลดลง 1,229 ล้านบาท หรือลดลง 5% อัตราหนี้สินสุทธิต่อหุ้น (Net debt to equity) สำหรับงบการเงินรวมเท่ากับ 0.34 เท่า และงบการเงินเฉพาะบริษัทเท่ากับ 0.31 เท่า เทียบกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 0.22 เท่า และ 0.24 เท่า ตามลำดับ

นายชนินท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2548 ราคาถ่านหินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทรงตัวอยู่ในระดับที่สูง โดยเฉพาะช่วง 7 เดือนแรกที่มีความต้องการใช้ถ่านหินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องประกอบกับมีการเร่งสะสมถ่านหินโดยผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าหลายแห่งในภูมิภาค ดังนั้นเมื่อโรงไฟฟ้ามีปริมาณถ่านหินใช้อย่างพอเพียงมากขึ้นจึงทำให้ราคาถ่านหินปรับตัวลงในช่วงท้ายของปี

"ความต้องการใช้ถ่านหินในปี 2549 นี้จะยังขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งโครงสร้างรายได้ส่วนใหญ่ของบ้านปูในปี 2548 จะมาต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 80-90% ของรายได้รวม แต่หากเป็นกำไรแล้ว สัดส่วนกำไรมาจากไทยอยู่ที่ 20-25% ของกำไรทั้งหมด แต่ปี 2550 สัดส่วนกำไรของบ้านปูมาจากไทยเพิ่มขึ้นเป็น 35-40% เป็นผลมาจากปีหน้าโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีที่บ้านปูถือหุ้นอยู่ 50% จะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่ 1,400 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯจะไม่บันทึกเป็นรายได้แต่จะรับรู้ในรูปกำไรแทน"

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีดำเนินการก่อสร้างคืบหน้าไปมาก คาดว่าจะเดินเครื่องผลิตไฟฟ้ายูนิตแรก จำนวน 700 เมกะวัตต์ ในช่วงตุลาคมศกนี้ และยูนิต 2 อีก 700 เมกะวัตต์จะเสร็จในกุมภาพันธ์ 2550 โดยปีหน้ากำไร 1ใน 3ของบ้านปูจะมาจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี

ขณะที่ด้านการผลิตถ่านหิน บริษัทได้เริ่มดำเนินการผลิตถ่านหินจากเหมืองทรูบาอินโดซึ่งเป็นเหมืองแห่งใหม่ในกาลิมันตันด้วยปริมาณการจำหน่าย 1.5 ล้านตัน เหมืองทรูบาอินโดไม่สามารถทำการผลิตได้อย่างเต็มที่ตามแผนในปี 2548 เนื่องจากเป็นปีแรกของการผลิตและยังต้องปรับปรุงความพร้อมด้านระบบขนส่งถ่านหิน แต่เหมืองแห่งนี้ได้มีพัฒนาการที่ดีและเป็นแหล่งถ่านหินสำคัญที่จะสร้างความเติบโตด้านการผลิตให้แก่บริษัทในปี 2549

นอกจากมีการผลิตจากแหล่งใหม่แล้ว บริษัทได้มีการขยายการลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยเข้าร่วมลงทุนในเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่งในมณฑลเหอหนาน ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 40% ขณะเดียวกันบริษัทได้ขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Non Core) ได้แก่ ธุรกิจเหมืองแร่แคลเซียมคาร์บอเนตและโรงไฟฟ้าขนาดเล็กแห่งหนึ่งในสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย และทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งที่ประกอบธุรกิจปิโตรเคมี

ส่วนแผนงานในอนาคตบริษัทยังคงเน้นการลงทุนทั้งในธุรกิจถ่านหินและไฟฟ้า โดยจะพิจารณาโครงการที่สามารถสร้างคุณค่าและผลตอบแทนในระดับที่เหมาะสม

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด วิเคราะห์ว่า กำไรสุทธิปี 2548 ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 53% ส่วนใหญ่เกิดจากรายการพิเศษ ส่วนใหญ่เป็นกำไรจากการขายเงินลงทุน หากไม่รวมรายการพิเศษจะทำให้กำไรจากการดำเนินงานปกติ 3.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 93% ขณะที่ไตรมาส 4 กำไรสุทธิ 725 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 57% และกำไรจากการดำเนินงานปกติ 151 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 88%

"กำไรปี 48 ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ 4% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปกติเพิ่มขึ้น 28% จากปริมาณขายเพิ่มขึ้น 4 ล้านตัน ชดเชยราคาขายเฉลี่ยที่คาดว่าจะลดลง 5% และเริ่มรับรู้กำไรจากการลงทุนในเหมืองที่จีน และโรงไฟฟ้า BLCP (ที่จะเริ่มผลิตเฟสแรกต.ค.นี้) แม้ยังไม่เป็นนัยสำคัญนัก แต่กำไรสุทธิจะลดลง 8.8% จากกำไรรายการพิเศษจากการขายหุ้น ATC ลดลง"

บล.เคจีไอ ประเมินว่า แม้ระยะนี้ราคาถ่านหินจะฟื้นตัว แต่ยังมีข้อกังวลต่อแนวโน้มที่อัตรากำไรขั้นต้นอาจปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาถ่านหินในระยะยาวที่น่าจะถูกกดดันจากอุปทานใหม่ที่จะเข้ามาประมาณ 25 ล้านตันหรือเพิ่มขึ้น 11% โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอินโดนีเซียและออสเตรเลีย ดังนั้นจึงคงคำแนะนำ "ซื้อลงทุนระยะยาว" ราคาเป้าหมายหุ้นละ 155 บาท ปัจจุบันหุ้นซื้อขายที่ PE ปี 2549 ที่ 10.3 เท่าและ PBV ปี 2549 ที่ 1.5 เท่า

ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น BANPU ล่าสุดวานนี้ (23 ก.พ.) ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดทำการซื้อขายในช่วงเช้าที่ราคาหุ้นละ 150 บาท และเป็นราคาซื้อขายสูงสุดประจำวัน ก่อนจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและปิดที่ราคาต่ำสุด 145 บาท ลดลงจากวันก่อน 5 บาท หรือ 3.33% มูลค่าการซื้อขายรวม 265.53 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us