ผู้บริหาร "ไทยยูเนี่ยน" มั่นใจสถานการณ์การเมืองไม่กระทบแผนดำเนินงาน แต่ทำให้ตลาดหุ้นไทยซบเซา เผยปี 2548 ยอดขายรวมกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8% พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีนี้เกิน 6 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตอีก 15%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงอยู่ในขณะนี้ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ต่างๆ และทำให้ภาวะการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตกอยู่ในช่วงซบเซา แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทมากนัก เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตและส่งออก
ทั้งนี้ ในปี 2548 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,330 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 1,159 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 15% เมื่อคิดเป็นรูปเงินบาทมีรายได้จากการขาย 53,644 ล้าน และมีรายได้รวม 54,008 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ประมาณ 15%
โดยในปี 2548 บริษัทแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,082 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.40 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกำไรสุทธิ 1,933 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 2.24 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 149 ล้านบาท หรือ 7.71%
สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 4 ปี 2548 มีอัตราการขยายตัวลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย คือ กำไรสุทธิ 453 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.52 บาท ลดลงจากปีก่อนที่กำไรสุทธิ 526 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.61 บาท หรือลดลงประมาณ 14% เนื่องจากบริษัทย่อยในสหรัฐอเมริกามีผลประกอบการที่ดีขึ้น ส่งผลให้ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น รวมทั้งภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายววเงินสินเชื่อเพื่อรองรับปริมาณการสั่งซื้อสินค้าที่สูงขึ้น
"ภาพรวมปี 2548 แล้ว ถือว่าบริษัทยังคงสร้างผลงานได้เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากสามารถทำยอดขายและผลกำไรเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขายกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% กำไรสุทธิกว่า 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 8%" นายธีรพงศ์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มธุรกิจในปี 2549 นั้น นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ทิศทางการส่งออกของอุตสาหกรรมอาหารน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ มีความชัดเจน ได้แก่ การที่ประเทศสหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีการทุ่มตลาดสินค้ากุ้ง การคืนสิทธิพิเศษทางศุลกากร (GSP) ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะทำให้อนาคตการส่งออกกุ้งของไทยแจ่มใสขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2549 บริษัทตั้งเป้ายอดรายได้ไว้ 60,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่มียอดรายได้รวมประมาณ 54,000 ล้านบาทหรือมีอัตราการขยายตัวประมาณ 15% โดยรายได้หลักมาจากทูน่ากระป๋อง ที่มีสัดส่วนรายได้อยู่ประมาณ 55% ของรายได้รวม รวมทั้งมีแผนที่จะพัฒนาและออกพัฒนาผลิตใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาอัตราการขยายตัวของบริษัทไว้
"แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมในปีนี้จะดีขึ้น แต่บริษัทเองยังต้องติดตามสถานการ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ การเจรจาผลประโยชน์และจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯ และประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหากมีการปรับลดภาษีการนำเข้าจะทำให้การส่งออกของเราสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้"
สำหรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น ในปี 2548 ที่ผ่านมา บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ หรือเท่ากับหุ้นละ 0.56 บาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท และคาดว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในปี 2548 อีกครั้งในอัตราที่ใกล้เคียงกัน โดยจะสามารถจ่ายได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2549 นี้
|