ตลาดแอลซีดีทีวีแข่งเดือด ถึงขั้นดั๊มราคา 40% ชี้เทรนด์ปีนี้ยังมีแนวโน้มตัดราคาลงอีก เหตุผู้เล่นในสนามมากขึ้น ชาร์ปเทพนครตั้งรับต้องลดราคาสู้ตาม เผยปีนี้เน้นทำตลาดเอนด์ยูสเซอร์มากขึ้นเป็นสัดส่วน 70% อัดงบตลาด 50 ล้านบาทลุยแอลซีดีทีวีโดยเฉพาะ หวังขยับแชร์เป็น 30%

นายเอทสึจิ โยชิดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์ปเทพนคร จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดโทรทัศน์แอลซีดีในปีนี้คาดว่าจะมีการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรงมากขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มมีการเล่นสงครามราคาด้วยการดั๊มราคาลงมากถึง 40% แล้ว เนื่องจากว่ามีผู้ประกอบการเข้ามาเล่นในตลาดนี้เพิ่มขึ้นหลายราย และพยายามที่จะนำราคาเข้ามาทำตลาดเพื่อดึงมาร์เกตแชร์ให้ได้มากที่สุด ทำให้ชาร์ปเองก็ต้องลดราคาจำหน่ายลงมาด้วยเช่นกันเท่ากับตลาดรวมที่ 40%

แนวโน้มราคาแอลซีดีทีวีของชาร์ปในปีนี้ก็อาจจะลดลงบ้างด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันด้านราคาและอีกส่วนหนึ่งคือ ต้นทุนการผลิตของชาร์ปต่ำลง เพราะโรงงานแห่งใหม่ที่ญี่ปุ่นนั้นจะสามารถเดินเครื่องผลิตได้ประมาณปีนี้ มีกำลังผลิตทีวีรวมถึงแอลซีดีทีวีด้วยประมาณ 22 ล้านเครื่องต่อปี คาดว่าราคาจะลดลงอีก 10%

แต่ทั้งนี้ตลาดแอลซีดีทีวีเองก็ยังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ดีกว่าแบบเดิม อีกทั้งราคาในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะต่ำลงเรื่อยๆด้วย แต่ยังเป็นตลาดที่เล็กอยู่เมื่อเทียบกับตลาดทีวีโดยรวมทั้งหมดที่มีประมาณ 2 ล้านเครื่องต่อปี โดยชาร์ปมีแชร์ประมาณ 10-15%

ส่วนตลาดแอลซีดีทีวี ตลาดรวมในปีที่แล้วมีประมาณ 19,000 เครื่อง ซึ่งชาร์ปเป็นผู้นำตลาดหลังจากที่ทำตลาดมาก่อนรายอื่นประมาณ 4 ปีที่ผ่านมาโดยมีแชร์ 20% และคาดว่าในปีนี้ตลาดรวมแอลซีดีทีวีจะเพิ่มเป็น 32,600 เครื่อง หรือมีมูลค่าตลาดรปะมาณ 3,000 ล้านบาท และชาร์ปตั้งเป้ามีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 30%

แผนการทำตลาดแอลซีดีทีวีในปีนี้ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าที่เป็นเอนยูสเซอร์หรือบ้านมากขึ้นให้เป็นสัดส่วน 70% และสัดส่วนลูกค้าที่เป็นองค์กรและธุรกิจ 30% จากเดิมที่ผ่านมาสัดส่วนเท่านคือ 50-50 พร้อมกับที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดรายได้ระหว่างทีวีธรรมดากับแอลซีดีทีวีให้เท่ากัน จากเดิมที่เป็นสัดส่วน 2 ต่อ 1 โดยช่องทางการจำหน่ายนั้น จะจำหน่ายผ่าน 2 ช่องทางหลักคือ ดีพาร์ทเมนสโตร์ระดับไฮเอนด์ และดีลเลอร์ระดับไฮเอนด์ที่มีประมาณ 20 รายจากดีลเลอร์ทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 200 ราย

ปัจจุบันชาร์ปมีแอลซีดีทีวีมากที่สุดในท้องตลาดคือ 12 รุ่น และคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มอีกประมาณ 8 รุ่น เพื่อเสริมให้ครบไลน์สินค้า โดยขณะนี้มีตั้งแต่จอขนาด 13 นิ้ว ถึง 65 นิ้ว ราคาตั้งแต่ 29,000 บาทขึ้นไป โดยจะเน้นจอขนาดใหญ่ ล่าสุดได้เปิดตัว แอลซีดีทีวีจอขนาด 65 นิ้ว เข้าสู่ตลาด จำหน่ายราคา 790,000 บาท ซึ่งงบประมาณรวมทั้งบริษัทฯด้านการตลาดปีนี้ตั้งไว้ที่ 100 ล้านบาท จะนำมาใช้กับการทำตลาดของแอลซีดีทีวีประมาณ 50% หรือประมาณ 50 ล้านบาท

สำหรับยอดขายปีนี้ของบริษัทฯซึ่งจะมาจาก 3 ผลิตภัณฑ์หลักคือ แอลซีดีทีวี ซึ่งยังนำเข้ามาจากต่างประเทศ โซล่าร์เซล และเครื่องถ่ายเอกสารที่สามารถผลิตในไทยแล้ว คาดว่าจะมีประมาณ 1,500 ล้านบาท