Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2540
ถึงคิว..ร.พ.เอกชน ต้องช่วยกันฝ่าวิกฤติ             
 


   
search resources

บุญ วนาสิน
Hospital




"ในอดีตเราเคยผ่านเหตุการณ์ช่วงปี'23 และปี 27-28 แต่มีผลกระทบต่อรายได้ร.พ.เอกชนน้อยมาก เพียงแค่โตน้อยลงแทนที่จะโต 15% ก็เป็นเพียง 5-6% แต่ปีนี้หนักมากเฉลี่ยแล้วคิดว่ารายได้ของร.พ.จะลดลงประมาณ 15-20% และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น" น.พ.บุญ วนาสิน เจ้าของร.พ.ในเครือโรงพยาบาลธนบุรี กล่าว

คำกล่าวของหมอบุญ หรือ กูรูทางเศรษฐกิจ ที่ไกรฤทธิ์ บุญเกียรติ นักการตลาดเลื่องชื่อเคยตั้งฉายาให้สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ ก็ขนาด ร.พ.เอกชนที่มีลูกค้าเป็นคนรวยมีเงินถุงเงินถังยังกระทบก็แล้วกัน

นี่จึงเป็นที่มาของโครงการ Mini MBA in Health ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจัดอบรมติดต่อกันมาหลายรุ่นแล้ว แต่รุ่นที่ 15 ที่จะเปิดสอนนี้พิเศษตรงที่บนแผ่นพับแนะนำโครงการระบุว่า "เน้นกลยุทธ์ฝ่าวิกฤติในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว"

เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปจากเดิมกำลังซื้อของคนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกันพฤติกรรมของคนกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อป่วยก็จะเข้าร.พ.เอกชนชั้น 1 ก็เปลี่ยนไปเป็นร.พ.เอกชนชั้น 2 และจาก ร.พ.ของรัฐ ในที่สุดก็จะหันมาซื้อยามาเองมากขึ้น

"เราต้องมาประเมินสถานการณ์กันใหม่" รศ.น.พ.พิชิต สุวรรณประกร รองคณบดีแพทยศาสตร์จุฬาฯ กล่าวในฐานะเจ้าของโครงการฯ

คำกล่าวนั้นเสมือนให้ ร.พ.เอกชนต่างๆ หันกลับมาทบทวนสถานการณ์ของตนเองอย่างจริงจัง และหาทางฝ่าไปให้ได้

อย่างแรกคือต้องคงค่ารักษาพยาบาลหรือดีกว่านั้นต้องลดราคา หรือพยายามช่วยคนไข้ลดค่าใช้จ่าย และรักษาให้เขาหายเร็วที่สุด นี่เป็นข้อสรุปข้างต้นที่ได้จากวิทยากรที่ทางโครงการฯ เชิญมาบรรยายเรียกน้ำย่อยก่อนที่จะมีการอบรมจริงๆ

โดยวิธีการที่จะไปถึงจุดนั้นได้ต้องมาควบคุมค่าใช้จ่ายกันขนานใหญ่ เรียกว่าอาจจะถึงการผ่าตัดหรือรีเอ็นจิเนียริ่ง ร.พ.กันเลยทีเดียว

ร.พ.ล้น-คนไข้ประหยัดขึ้น
ต้องรู้และต้องปรับ

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นการประเมินสถานการณ์ ปัจจุบันดูจะยังเป็นสิ่งจำเป็น ทางโครงการฯ จึงเชิญ พิศาล มโนลีหกุล เอ็มดี บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย มาวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อให้เห็นความจำเป็นที่ร.พ.เอกชนต้องส่งคนมาอบรมมากขึ้น

ปัจจุบันจะเห็นว่า ร.พ.เอกชนในกรุงเทพฯ ล้นเกินความต้องการ อัตราการเข้าพักอยู่ในระดับ 46% เรียกว่าไม่ถึงครึ่ง ดังนั้นถ้าใครคิดจะเปิดร.พ.เอกชนในขณะนี้สู้เอาเงินไปฝากไว้กับแบงก์ยังดีเสียกว่า

"เพราะการสร้างร.พ.นั้นถ้าต้องไปกู้เงินแบงก์มาสร้าง ในภาวะปกติแบงก์จะให้เรตติ้งที่ B หรือ B+ แต่โดยภาวะเศรษฐกิจและ ร.พ.เอกชนลดเหลือเพียง C หรือ C+ เท่านั้น จึงเป็นการยากที่จะได้เงินกู้มา" พิศาล กล่าว

ในความเห็นของวิทยากร ขณะนี้หมดยุคแล้วสำหรับการสร้าง ร.พ.ขนาด 400 เตียง เนื่องจากการหวังจะให้มีจุดคุ้มทุนภายใน 3 ปีนั้น ต้องคำนึงถึงธรรมชาติของธุรกิจ ร.พ.เพราะโดยปกติอัตราเข้าพักปีแรกจะตกประมาณ 50-60 เตียงเท่านั้น ปีที่สอง ถ้าดีจริงๆ จะขึ้นมาประมาณ 100 เตียงเศษ และปีที่สามจะขึ้นมาที่ 150 เตียง

"ในการทำร.พ.ไม่ใช่ว่าเปิดแล้วคนไข้จะไหลเข้ามาทันที มันขึ้นกับความสามารถและชื่อเสียงของหมอ รวมทั้งขึ้นกับคนไข้และญาติคนไข้ที่จะไปบอกต่อ ดังนั้น กว่าจะได้จุดที่มีคนไข้ 30 รายต่อวันต่อหมอ 1 คนนั้น หมอแต่ละคนต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปีขึ้นไป" หมอบุญกล่าว

แต่นอกจากการบอกปากต่อปากและรอให้คนไข้มาหาหมอก็ยังไม่พอ ร.พ.ต้องทำการตลาดเพิ่มโดยแพทย์และพยาบาลต้องเดินเข้าไปหาคนไข้หรือลูกค้ามากขึ้น อาทิ การทำ Home care ที่ไปตรวจสุขภาพหรือรักษาคนไข้ที่บ้านสำหรับบริการคนไข้ที่ไม่สะดวกที่จะมาร.พ.

ส่วนความคิดของหมอบุญต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เขาให้คำจกัดความว่า "ร.พ.อยู่ในภาวะสงคราม" จึงต้องมีการเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับปีครึ่งหรือ 3 ปี แต่ก็ให้ความหวังในมุมมมองของผู้บริหารว่า "ในภาวะวิกฤติย่อมมีของดีอยู่ด้วย...ต้องมองให้เห็น"

"การบริหารร.พ.ต้นทุนที่แพงที่สุดคือค่าแรง ซึ่งมี 2 จุดใหญ่ คือ ค่าบริการงานพยาบาลทั่วไป และค่าแพทย์ เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสที่ดีในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ที่จะต่อรองกับแพทย์เพราะเขาไม่มีทางเลือก" หมอบุญกล่าว

โดยปกติเรื่องค่าแรง ถ้าสามารถควบคุมให้อยู่ในระดับ 40% ของรายได้ ร.พ.ก็จะมีกำไร แต่ร.พ.ใหม่รายจ่ายส่วนนี้จะตกประมาณ 50% ซึ่งถือว่าขาดทุน เพราะยังมีค่าใช้จ่ายอื่น คือ ค่ายา 20% ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ขึ้นกับแต่ละ ร.พ. อาจจะ 5% หรือ 10% และส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 10%

"เพราะฉะนั้นเราแทบจะไม่ได้กำไรเลยในการบริหาร ร.พ.ถ้าเราควบคุมค่าแรงไม่อยู่ บางแห่งค่าแพทย์อย่างเดียวขึ้นไปถึง 25% ก็มี ซึ่งจริงๆ ไม่ควรเกิน 15% ของรายได้ทั้งหมด" หมอบุญกล่าว

ขณะเดียวกันต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ อาทิ การซักผ้า X-Ray หรือแม้แต่การจ้างพยาบาลอยู่เวรเหล่านี้สามารถร่วมมือกับ ร.พ.ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ใครทำได้ถูกกว่าก็รับจ้างทำไปเลย หรือ แชร์บุคลากรในงานบางงาน เป็นต้น

อนึ่ง ขณะนี้ปัญหาอีกอย่างที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นแนวโน้มทั่วโลกคือจำนวนคนไข้ในจะลดลงโดยธรรมชาติ ขณะเดียวกันคนไข้นอกหรือ out-patient จะเพิ่มขึ้น ยิ่งในภาวะเช่นนี้แล้วจะยิ่งเปลี่ยนแปลงมากกว่าปกติ เหตุผลหนึ่งคือคนประหยัดมากขึ้น ดังนั้นการบริหารคนไข้ภายในจึงเป็นสิ่งสำคัญ

"วิธีการคือ คนไข้ออกบ่าย 3 โมง คุณก็ไปเก็บเขาวันหนึ่งหรือครึ่งวัน แล้วพยายามรับให้ได้ตอน 2 ทุ่มเท่ากับห้องหนึ่งเราได้ 2 วัน แทนที่จะได้ 1 วัน" หมอบุญกล่าว และเสริมแนวคิดในการฝ่าวิกฤติว่า

"แน่นอนพยาบาลจะเหนื่อยขึ้น แต่ตอนนี้ผมบอกพนักงานผมทุกคนว่าคุณให้ผม 100% ผมไม่พอใจ แล้วในภาวะอย่างนี้ ผมต้องการจากคุณ 120% ต้องบอกอย่างนี้ จะ motivate เขาอย่างไรไม่ว่ากันแต่ต้องบอกว่า comtiment ของพนักงานให้กับบริษัท ตอนนี้ไม่ใช่ 100% อย่าว่าแต่ 80% เลย คุณต้องทำให้ได้ 8 ชม. แต่เราคาดหวังกับคุณที่ 10 ชม. แต่ได้รับเงินเดือนแค่ 8 ชม."

ร.พ.ก็ต้องรู้จักบริหารเงินมากขึ้น

ในการบริหาร ร.พ.เอกชนแนวสมัยใหม่ความรู้ทางด้านการบริหารเงิน ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ เช่นกัน โดยเฉพาะปัญหาที่ทุกคนกำลังเผชิญเรื่องสภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น จนหลายรายไม่สามารถแม้แต่จะจ่ายดอกเบี้ย

วิธีการบริหารเงินที่น่าจะเหมาะกับธุรกิจ ร.พ.เอกชน มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน อาทิ การเพิ่มทุน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ทำยากที่สุด เพราะหุ้น ร.พ.ตอนนี้ผลตอบแทนไม่ดีนัก, การทำ refinance ซึ่งขึ้นกับความสัมพันธ์ที่มีกับแบงก์ โดยต้องทำให้แบงก์มั่นใจว่ามีความสามารถในการจ่ายคืนเงินกู้ได้

นอกจากนี้ ยังมีวิธีรวมกิจการ (Merging) กับรายอื่นที่มีความแข็งแกร่งกว่า เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด ซึ่งใกล้เคียงกับการเปิดทางให้รายอื่นเข้ามาร่วมทุนถือหุ้น (Venture Capital)

โดยสองวิธีหลังนี้ ร.พ. ต้องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถที่มีอยู่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนรายใหม่ ในขณะเดียวกันต้องมีความชัดเจนในเรื่องการบริหารงานว่ากลุ่มใหม่ที่จะเข้ามาจะอยู่ในฐานะใด และต้องการมีอำนาจในการบริหารและตัดสินใจมากน้อยเพียงใดด้วย

หมอบุญให้ตัวอย่างจากเครือ ร.พ.ธนบุรีของเขาซึ่งมีหนี้อยู่ประมาณ 1,200 ล้านบาทว่า ต้องทำ refinance เกือบหมด โดยกำลังเจรจาทั้งในลักษณะร่วมกิจการและเปิดทางให้เข้ามาร่วมถือหุ้น

ทั้งนี้ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา หมอบุญกล่าวว่า มีการ firm offer มาแล้ว 3 ราย แต่อยู่ใน
ระหว่างการทำ due diligent ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะสรุปได้

"ผมในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ถ้าหุ้นเรา dilute ไป 50% ก็ยอม ขอให้บริษัทอยู่รอดก็พอแล้ว หรือถ้าเขาอยากบริหารก็ยกให้เขาเลย เพราะอายุเราเท่านี้แล้ว ถ้ามีคนทำได้ดีกว่า แล้วราคาหุ้นเราสูงขึ้น เรานอนกินเงินปันผลอย่างเดียวก็พอแล้ว เรื่องอะไรเราจะทำให้เหนื่อย" หมอบุญกล่าว

นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของธุรกิจที่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและกำลังดิ้นรนหาทางรอด ซึ่งจะเห็นว่านอกจากการปรับองค์กรและลดค่าใช้จ่ายแล้ว ความร่วมมือของผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกันไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรมจากสถาบันการศึกษาในสายวิชาชีพ การร่วมแชร์ค่าใช้จ่ายต่างๆ หรืออาจเลยไปถึงการรวมกิจการเพื่อความอยู่รอดเหล่านี้อาจจะเป็นทางออกของปัญหาในขณะนี้ก็เป็นได้

ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันมีความเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด ธุรกิจ ร.พ.เอกชนไม่ใช่กลุ่มแรกและคงไม่ใช่กลุ่มสุดท้าย ที่โดนพิษเศรษฐกิจซบเล่นงาน ก็ต้องมาดูกันต่อไปใครจะเป็นรายต่อไปและจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us