ในวงการธุรกิจขนส่งพัสดุภัณฑ์หรือขนส่งเอกสารของภาคเอกชน (air express)
ปัจจุบันอยู่ในช่วงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ผ่านมาอัตราการเติบดตของภาคธุรกิจดังกล่าวทั่วโลกอยู่ที่ระดับ
20% โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียซึ่งมีการคาดกันว่าการเติบโตจะอยู่ในอัตราที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ
คือประมาณ 20-30% ส่วนธุรกิจนี้ในประเทศไทยอัตราการเติบโตก็คงจะอยู่ที่ระดับการเติบโตเฉลี่ยของโลก
ดังนั้น ในขณะนี้บริษัทที่ให้บริการด้านนี้จึงหันมาสนใจตลาดในเอเชียกันมากขึ้น
โดยเฉพาะ Federal Express (FedEx) ที่เริ่มบุกตลาดเอเชียเพื่อขยายบริการสู่ตลาดโลกด้วย
การเริ่มจากการซื้อกิจการ "เกลโค่" ซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งพัสดุภัณฑ์ด่วนขนาดเล็กที่มีสาขาในยุโรปและเอเชียในปี
2527 และถัดมาในปี 2530 FedEx ได้จัดตั้งสำนักงานภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกขึ้นที่ฮาวาย
เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายของ FedEx และเกลโค่ในอเมริกากับเอเชีย ส่งผลให้บริการลูกค้าในแถบเอเชียได้ดียิ่งขึ้น
และเปิดบริการขนส่งสินค้าด่วนตรงสู่ญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปี 2532 FedEx ได้ซื้อกิจการ "ฟลายอิ้ง ไทเก้อร์" ซึ่งเป็นสายการบินขนส่งสินค้าและมีสิทธิการบินสู่
21 ประเทศ และในปีเดียวกัน FedEx ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอเมริกาให้เปิดเที่ยวบินประจำเพื่อขนส่งเอกสาร
พัสดุภัณฑ์ และสินค้า สู่จุดหมายจำนวนมากในเอเชีย นับจากนั้นเป็นต้นมา FedEx
มีเครือข่ายและปริมาณการขนส่งในเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับการเติบโตและความมั่งคั่งของภูมิภาคนี้
ดังนั้น FedEx จึงได้ย้ายสำนักงานจากฮาวายมาประจำที่ฮ่องกงในปี 2535 เพราะมั่นใจว่าภูมิภาคเอเชียจะเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของบริษัทในอนาคต
"การเติบโตในเอเชียจะมีมากกว่าในอเมริกาเพราะอเมริกาค่อนข้างอิ่มตัวแล้วแต่ในเอเชียยังมีศักยภาพอีกมาก
ไม่ว่าจะเป็นในเอเชียกันเอง หรือว่าจากเอเชียไปอเมริกาหรือไปยุโรป และแน่นอนขณะนี้สัดส่วนรายได้จากเอเชียจะมากกว่า"
แก้วใจ นาคสกุล สุวรรณวาณิช ผู้จัดการการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ ประจำประเทศไทย
กล่าวถึงความสำคัญของตลาดในเอเชีย
นอกจากนี้ในปี 2538 FedEx ได้เริ่มเปิดเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกสัปดาห์ละ
5 เที่ยวบิน รวมทั้งจัดตั้งศูนย์เครือข่ายการบริการในเอเชียที่อ่าวซูบิค
ประเทศฟิลิปปินส์ ที่เรียกว่า "เอเชียวัน" เพื่อให้บริการขนส่งด่วนถึงผู้รับในวันรุ่งขึ้น
ซึ่งเป็นระบบการให้บริการกับเครือข่ายขนส่งรอบดลก FedEx ทั้งในอเมริกาเหนือและใต้
แอฟริกา และยุโรป ด้วยเหตุนี้ทำให้รายได้ปีล่าสุดมีสูงถึง 11.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบันเรามีฝูงบินให้บริการ 584 ลำ ให้บริการถึง 212 ประเทศ นอกจากนี้เรากำลังจัดหาเครื่องบินอีก
113 ลำ ซึ่งเราเป็นบริษัทที่มีจำนวนฝูงบินที่ใหญ่ที่สุดของโลกในธุรกิจนี้"
แก้วใจ กล่าว
สำหรับการทำธุรกิจของ FedEx ในประเทศไทยแก้วใจ เล่าว่าในอดีตเคยให้บริการ
1 เที่ยวต่อสัปดาห์ ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้น FedEx จึงได้เพิ่มเที่ยวบินเป็น
5 เที่ยวต่อสัปดาห์ ซึ่งเริ่มให้บริการได้เมื่อต้นเดือนกันยายน 2540
"การบริการในไทยจะเป็นลักษณะบินตรงมาเลย ซึ่งจะเชื่อมต่อกับประเทศอื่นๆ
ทั่วโลก โดยจะเริ่มจากอเมริกา บินตรงเข้าฝรั่งเศส จากนั้นจะมุ่งสู่ดูไบ บอมเบย์
กรุงเทพฯ ฟิลิปปินส์ โอซากา และเมมฟิส"
สาเหตุที่ FedEx ตัดสินใจเพิ่มเที่ยวบินในครั้งนี้เนื่องจากเล็งเห็นว่าการทำการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศในแถบเอเชียมีศักยภาพมาก
เพราะเป็นคู่ค้าที่สำคัญต่อกัน สังเกตได้จากปริมาณการนำเข้าและส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ฉะนั้นการเพิ่มเที่ยวบินก็จะสามารถบริการลูกค้าในเอเชียได้มากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทให้บริการได้ในลักษณะเพียงข้ามคืนได้ถึง
14 เมือง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งจะกระทบต่อธุรกิจของ
FedEx พอสมควร เรื่องนี้แก้วใจเปิดเผยว่า เมื่อปริมาณการส่งออกของผู้ประกอบการไทยลดลง
จำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการกับบริษัทจะลดตามไปด้วย แต่ขึ้นอยู่กับว่าสินค้านั้นเป็นอะไร
เช่น วัตถุดิบที่ลูกค้านำเข้ามาผลิต หรือประเทศคู่ค้าคือใคร ซึ่งอาจจะกระทบบ้าง
ในทางกลับกันก็มีผลในแง่ดีด้วย เช่น สินค้าบางชนิดตามสายตาตลาดโลกจะมีราคาถูกลง
ดังนั้นก็จะมีลูกค้ามาใช้บริการกับ FedEx เพิ่มมากขึ้น
"อัตราการสางออกลดลงกว่าช่วงก่อนๆ มาก แต่เราก็เชื่อมั่นว่าตลาดของไทยยังมีศักยภาพอยู่สูงเพราะเป็นประเทศที่ส่งออกรายใหญ่ของโลกแห่งหนึ่ง
เช่น สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์" แก้วใจ กล่าว
และสิ่งที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งที่ FedEx หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
ทั้งนี้ธุรกิจ air express ในประเทศไทยไม่ใช่มีเฉพาะ FedEx เท่านั้น ยังมีทั้ง
DHL Worldwide Express (Thailand), TNT Express Worldwide (Thailand) ซึ่งแต่ละบริษัทต่างก็มีการให้บริการลูกค้าในลักษณะที่คล้ายๆ
กัน เพราะโดยพื้นฐานการบริการ คือ รวดเร็ว สะดวกสบาย หรือการบริการแบบถึงที่
ที่เรียกว่า door to door
"จุดเด่นของเราในการแข่งขัน คือ การบริการที่มี value มากกว่า นอกจากส่งด่วนแล้วเรายังมีการรับประกันด้านอื่นๆ
เช่น ประกันความเร็ว การตรงต่อเวลาหรือรับประกันคืนเงิน และที่สำคัญความเชื่อถือเพราะเรามีเครื่องบินเอง
ดังนั้นการควบคุมสินค้าจะดีกว่า" แก้วใจ เล่า
นอกจากนี้ค่าเงินบาทหรือการเรียกเก็บค่าภาษีศุลกากรเพิ่มสูงขึ้นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของธุรกิจนี้
เนื่องจากจะต้องแบกรับกับต้นทุนที่นับวันสูงขึ้นเรื่อยๆ ทางออกของผู้ประกอบการ
นอกจากการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว หนทางหนึ่งที่นิยมกันมาก คือ การเพิ่มราคาค่าขนส่ง
ซึ่ง FedEx เองก็แบกรับต้นทุนไม่ไหว ดังนั้นทางผู้บริหารคาดว่าจะต้องปรับราคาค่าบริการเพิ่มขึ้นอีกประมาณ
8%
นอกเหนือจากการเพิ่มเที่ยวบินแล้ว ล่าสุด FedEx ยังให้ความสนใจต่อโครงการศูนย์กลางผลิตและขนส่งทางอากาศยานนานาชาติ
(Global Transpark : GTP) ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งทางอากาศ
โดยจะทำการพัฒนาที่สนามบินอู่ตะเภา จ.ชลบุรี ซึ่งแผนแม่บทของ GTP จะต้องดำเนินการ
3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การปรับปรุงสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางขนส่งทางอากาศ
การสร้างอาคารที่พักสินค้า ทำคาร์โก ซึ่งจะแยกว่าจุดไหนเอกชนจะเข้าไปลงทุน
และการดำเนินการบริเวณรอบสนามบินว่าส่วนไหนบ้างที่เหมาะสำหรับการสร้างอาณานิคมอุตสาหกรรม
ซึ่ง FedEx กำลังพิจารณาว่าจะเข้าร่วมถือหุ้นในโครงการนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบัน FedEx ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นที่ปรึกษาของโครงการ GTP เพื่อดูแลด้านการตลาดโดยตรง
แต่โครงการนี้อยู่ในช่วงเตรียมการ และสิ่งแรกที่จะเริ่มลงมือได้นั้นคาดว่าจะเป็นปีหน้า
ดังนั้นในช่วงนี้ FedEx ก็ร้องเพลงรอไปก่อน