ช็อกไปทั้งวงการสำหรับการสั่งปิดไฟแนนซ์รอบที่ 2 ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดหุ้นแทบจะรับกับข่าวนี้ไม่ได้
โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย และกว่าจะตั้งหลักได้ก็แทบเอาตัวไม่รอด อย่างไรก็ตามในช่วงต้นเดือนที่แล้ว
(สิงหาคม) ดัชนีตลาดฯ ยังผันผวนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าการปรับตัวดังกล่าวเกิดจากแรงเทขายในลักษณะ
panic sell ของบรรดานักลงทุนรายย่อยภายในประเทศที่มีต่อข่าวซึ่งไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า
"ตรงกันข้ามสำหรับนักลงทุนต่างประเทศที่ถือว่าเป็นผู้นำตลาดในช่วง
1-2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการคาดการณ์ไว้บางส่วนแล้วว่าจากประสบการณ์ของ IMF
ที่เคยปฏิบัติต่อประเทศที่ยื่นขอความช่วยเหลือในอดีต ดังนั้นเขาถือว่าปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกในระยะยาว"
นักวิเคราะห์ อธิบาย
และยังมองว่าการปรับตัวของดัชนีตลาดฯ จะไม่รุนแรงนักเนื่องจากแรงขายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเกิดจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนประเภทสถาบันภายในประเทศ
โดยที่แรงขายดังกล่าวจะมีจำกัด เพราะนักลงทุนประเภทกองทุนได้มีแรงเทขายเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสดมากแล้วในช่วงเดือนมิถุนายน
และกรกฎาคมที่ผ่านมาแล้ว ขณะที่นักลงทุนรายย่อยจะมีข้อจำกัดด้านตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งเปิดบัญชีประเภท
P/N Margin ที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและอยู่ใน 42 ไฟแนนซ์ที่ถูกสั่งปิด
ทำให้ไม่สามารถเพิ่มอำนาจซื้อหรือขายได้ ส่วนแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศก็มีข้อจำกัดเนื่องจากได้รับข่าวร้ายไปหมดแล้ว
และการปรับเพิ่มพอร์ตการซื้อขายก็เพิ่มจากระดับต่ำที่สุดขึ้นมาเพียงเล็กน้อย
2.5-3% ของพอร์ตเท่านั้น
"แต่ตัวแปรที่สำคัญที่อาจจะมีผลต่อการปรับตัวขึ้นหรือลงของดัชนีตลาดฯ
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันมากขนาดไหน เช่น ความเชื่อมั่นต่อสถาบันการเงินหลังจากหยุดกิจการไฟแนนซ์
42 แห่ง ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ระยะเวลาการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ จะแล้วเสร็จเมื่อใด
รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะเกิดขึ้นได้เร็วเพียงใด"
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ถ้าเป็นนักลงทุนระยะสั้นไม่เกิน 1 เดือนยังคงเป็น
Trading Buy เฉพาะบางหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์
อาทิ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และธนาคารกสิกรไทย (TFB) กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ลงทุนได้เฉพาะบริษัทที่เป็นแกนนำกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์
ลงทุนได้แค่หุ้น บมจ. เดลต้า อิเลคโทรนิคส์ (DELTA) และ บมจ. เค. อาร์. พรีซิชั่น
(KRP) เนื่องจากเป็นหุ้นที่ลอยตัวตามเงินบาท คือไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเพราะการซื้อขายเป็นดอลลาร์
นอกจากนี้ราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม ด้านกลุ่มพลังงาน เช่นหุ้น บมจ.
เดอะโคเจเนอเรชั่น (COCO), บมจ. ผลิตไฟฟ้า (EGCOMP) และ บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
(PTTEP) ได้รับส้มหล่นจากเงื่อนไข IMF เนื่องจากเป็นหุ้นสาธารณูปโภคดังนั้นโอกาสที่จะขึ้นค่าบริการในอนาคตจึงมีสูงและหุ้นน้องใหม่ไฟแรงได้แก่
บมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำตะวันออก (EASTW) ที่คาดว่าจะได้รับผลดีเช่นเดียวกับกลุ่มพลังงานเหมือนกัน
เพราะนับแต่ตั้งบริษัทมายังไม่เคยขึ้นราคาน้ำเลย คาดว่าครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะปรับราคาซึ่งจะเป็นผลดีต่อผลประกอบการและเงินปันผลของบริษัทในอนาคต
"โดยพิจารณาบริเวณแนวรับที่ 600 จุด ส่วนนักลงทุนระยะกลางเราแนะนำให้ถือเงินสด
เนื่องจากมาตรการแก้ไขเศรษฐกิจของ IMF และปัญหาสภาพคล่องอาจจะทำให้มีข่าวดีด้านเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนแต่โอกาสเกิดขึ้นนั้นมีน้อยมาก
ส่วนนักลงทุนระยะยาวประเภท 2 ปีขึ้นไปสามารถเลือกสะสมซื้อหุ้นลงทุนเป็นรายตัวได้"
นักวิเคราะห์กล่าว
อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ควรจะต้องระมัดระวังให้มากสำหรับการลงทุนเพราะเงื่อนไขของ
IMF ที่ประกาศออกมาในช่วงนี้เป็นเพียงแค่แนวกว้าง ๆ เท่านั้น ในทางเทคนิคยังไม่ประกาศและถ้าประกาศออกมาคาดว่าจะเข้มงวดมากกว่านี้
ทางที่ดีควรจะพักรบสักระยะหนึ่งหรือเล่นประเภทระยะยาวไปเลย นักวิเคราะห์ให้ความเห็น