จากการโชว์ฟอร์มจัดทีมฟุตบอลระดับโลกมาแข่งขันในไทย 4 ครั้งแล้ว เชื่อว่าหนุ่มวัย
26 ปี เช่น "กรพิศิษฐ์ แจ่มใส" คงบรรลุคำว่า "สักวันหนึ่ง
เราจะโต" มาตั้งแต่ยังตัวเล็กตัวน้อยทีเดียว
"กรพิศิษฐ์" ชื่อนี้มิได้สะกดผิด เพราะเขาบอกกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
ว่า เพิ่งเปลี่ยนตัวพยัญชนะจาก "พ" เป็น "ก" หนุ่มนักธุรกิจกีฬาผู้นี้มีอายุเพียง
26 ปี แต่ก็สามารถจัดการแข่งขันฟุตบอลนัดใหญ่ ๆ ในเมืองไทย ทำเอาคนที่ไม่เชื่อมือ
ต้องเปลี่ยนมาเป็นเชื่อใจกันเป็นทิวแถว
ครั้งล่าสุดผลงานของกรพิศิษฐ์คือจัดการแข่งขันไทยแลนด์ พรีเมียร์ คัพ 1997
ในนามบริษัทบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล สปอร์ต จำกัด (BIS) ซึ่งเขามีฐานะเป็นกรรมการผู้จัดการ
ส่วนพี่ชายคือปัญญากรก็เป็นผู้บริหารร่วมอย่างเร่าร้อน
บีไอเอสทำธุรกิจกีฬาในลักษณะเป็น Organizer มีส่วนกระตุ้นตลาดสินค้ากีฬาให้คึกคัก
เพราะเวลามีทัวร์นาเมนต์ที่สำคัญ ชมรมฟุตบอลต่าง ๆ และแฟนกีฬาก็มักจะให้การอุดหนุนสินค้าอย่างไม่ลังเลใจ
เป็นประโยชน์แก่ธุรกิจเช่น สตาร์ ซอคเก้อร์ แต่บีไอเอส ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทสยามสปอร์ต
ซินดิเคทจำกัด (มหาชน) ซึ่งก็มีธุรกิจจัดการแข่งขันกีฬาล่าสุดนำทีมแมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ดแข่งกับทีมชาติไทย ท่ามกลางแฟนฟุตบอลเต็มสนาม ต่างจากเกม ไทยแลนด์
พรีเมียร์ คัพ ซึ่งมีส่วนประกอบคือ โบคาร์ จูเนียร์ จากอาร์เจนตินา, อินเตอร์
มิลาน จากอิตาลี, เอฟซีปอร์โต จากโปรตุเกส และทีมชาติไทย มีคนบางตากว่ามาก
แต่ก็ถือได้ว่าคุ้มทุนที่ทุ่มลงไปประมาณ 50 ล้านบาท
ค่าตัวของแต่ละทีมในการแข่งขันแต่ละครั้งคืออินเตอร์มิลาน 10 ล้านบาท เอฟซี
ปอร์โต้ 5 ล้านบาท,โบคาร์ จูเนียร์ 6 ล้านบาท และทีมชาติไทย 1 ล้านบาท ในขณะที่บีไอเอส
มีรายได้จากสปอนเซอร์การแข่งขันรายใหญ่ 5 ล้านบาท และรายย่อย 1 ล้านบาท รวมทั้งการถ่ายทอดผ่านเครือข่ายกีฬาระดับโลก
ESPN 5 ล้านบาท
กรพิศิษฐ์อธิบายว่า ที่แล้วมาเขาเป็นผู้จัดการแข่งขันที่อาศัยการติดต่อโดยตรงกับสโมสรต่าง
ๆ เนื่องจากมีความคุ้นเคยกัน แต่ถ้าติดต่อผ่านเอเยนซีจะต้องถูกคิดค่านายหน้า
15% ของค่าตัวแต่ละทีม
"เอเยนซีเขาเป็นทั้งสื่อกลางในการซื้อขายตัวนักกีฬา และการติดต่อทีมต่าง
ๆ ไปแข่งขัน ถ้าเป็นการซื้อขายตัวนักบอลเขาก็จะหัก 10%"
เหตุที่กรพิศิษฐ์สามารถติดต่อสโมสรในต่างประเทศโดยตรงก็เพราะสมัยศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ไฮสคูล
จนจบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย ซีราคิวส์ เขาชอบชมการแข่งขันและคลุกคลีกับนักฟุตบอลทีมต่าง
ๆ สมัยมีการแข่งขันบอลโลกที่สหรัฐอเมริกา ก็พักอยู่โรงแรมเดียวกับทีมดังเช่น
อิตาลี
"ในโรงแรมพูดคุยกันได้ เป็นเรื่องปกติธรรมดา ก็เหมือนแขกมาพักทั่วไป
เราก็คลุกคลีกัน ต่างจากเวลานักบอลไปแข่ง จะมีการรักษาความปลอดภัย เราเข้าไปคลุกคลีไม่ได้"
กรพิศิษฐ์กล่าว สำนักงานของเขาละแวกซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท ใครไปเยือนก็จะพบเสื้อฟุตบอลทีมดัง
พร้อมลายเซ็น ใส่กรอบประดับผนังห้องอยู่เต็มไปหมด
สำนักงานนี้ เป็นออฟฟิศให้เช่า ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวแจ่มใส วิจิตรผู้พ่อเป็น
ส.ส.นครสวรรค์พรรคความหวังใหม่ และเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต
ยงใจยุทธ ธุรกิจเรียลเอสเตทของตระกูลนี้ ยังมีโครงการ "ริมปิงนิเวศน์"
ที่จังหวัดนครสวรรค์ กรพิศิษฐ์จึงไม่ทำเพียงธุรกิจกีฬา แต่ต้องดูแลด้านเรียลเอสเตทด้วย
ต้องขึ้นล่องกรุงเทพฯ-นครสวรรค์อยู่เป็นประจำ
สิ่งที่เขาปรารถนาในอนาคตอันใกล้นี้คือ การเป็น ส.ส. นครสวรรค์ ในปัจจุบันครอบครัวแจ่มใสบริหารบีไอเอสกันอย่างอบอุ่น
โดยมีคุณแม่ชื่อ "ชบา" นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศด้วย บางครั้งเธอถึงกับนั่งติดต่อธุรกิจอยู่ที่โต๊ะลูกชาย
กรพิศิษฐ์มีโครงการจัดไทยแลนด์ พรีเมียร์ คัพทุกปี แต่จะต้องเชิญทีมดังจากอังกฤษแข่งด้วย
จึงจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เพราะคนไทยออกจะชื่นชอบบอลอังกฤษมากกว่าบอลชาติอื่น
ๆ นี่จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของความสำเร็จ นอกจากนี้ก็จะต้องเก็บค่าชมไม่แพง
คืออยู่ในเกณฑ์ 100, 200 และ 300 บาท ค่าดูที่ถูกจะทำให้คนในสนามดูหนาแน่น
เมื่อถ่ายทอดสู่โทรทัศน์ ก็จะดูตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
แน่นอน ย่อมเป็นผลดีต่อการขายสิทธิ์การถ่ายทอดไปยังเครือข่ายโทรทัศน์ต่างประเทศด้วย
"เราคงจัดบอลต่างประเทศมาแข่งบ่อย ๆ ไม่ได้เพราะคนไม่มีกำลังซื้อ
การจัดอย่างไทยแลนด์ พรีเมียร์ ปีละครั้งก็พอแล้ว เพราะถ้าจัดให้ได้ดี ต้องใช้เวลาเตรียมตัวไม่ต่ำกว่า
7-8 เดือน"
หากเทียบกับเครือสยามสปร์ต กรพิศิษฐ์ไม่คิดที่จะทำสื่อต่าง ๆ ขึ้นมาโปรโมตธุรกิจของบีไอเอสเพราะการขยายการลงทุนมาก
ๆ ดูเป็นการสุ่มเสี่ยง และเขาอยากดำเนินธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
"เรายอมรับว่า เสียเปรียบสยามสปอร์ต ซึ่งมีสื่ออยู่ในมือ แต่เราไม่คิดที่จะแข่งขันกับเพื่อนร่วมวงการส่วนสื่อมวลชนเขาก็ให้ความสนใจและร่วมมือกับเราอย่างอบอุ่นอยู่แล้ว"
วิสัยทัศน์ของเขาคือการเป็นผู้จัดการแข่งขันกีฬาในสหรัฐฯ เพราะเห็นว่าพอมีลู่ทางที่น่าจะทำได้
และเมื่อบีไอเอสเป็นที่รู้จักมากขึ้น เขาก็ยินดีเป็นตัวกลางในการติดต่อทีมต่าง
ๆ ไปแข่งขันในประเทศเพื่อนบ้านเช่นตอนนี้
นอกจากจัดแข่งฟุตบอล กรพิศิษฐ์ยังเปิด "บริษัทเวิลด์ ทัวร์ ทราเวล"
เป็นธุรกิจท่องเที่ยวนำแฟนฟุตบอลเมืองไทยไปชมการแข่งขันในต่างประเทศ
"ดูบอลแล้ว ก็ร่วมกินข้าวกับทีมที่ตนชอบเช่น เชลซี แมนยู และไปเที่ยวเมืองต่าง
ๆ ไม่จำเป็นต้องแค่ฟุตบอล อาจดูบาสเกตบอลเอ็นบีเอที่อเมริกาก็ได้"
นับเป็นการขยายธุรกิจที่น่าสนใจและเกี่ยวเนื่องกัน ล่าสุดทางไอบีซีเคเบิลทีวี
ยินดีให้บริษัทของเขานำสมาชิกจำนวน 15 คน ไปทัวร์ฟุตบอลที่อังกฤษ
กรพิศิษฐ์เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น การทำธุรกิจกีฬาให้กลายเป็นขุมเงินขุมทอง
และเป็นที่ประทับใจคนทั้งประเทศ ออกจะเป็นเรื่องท้าท้ายไม่แพ้กว่าการเป็น
ส.ส. นครสวรรค์อย่างแน่นอน!