|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โตอีก 30% รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องปรับตัวหันมาใช้ถ่านหินมากขึ้น พร้อมปรับแผนรุกลูกค้ารายกลางและรายเล็ก เหตุมีมาร์จินสูงกว่า
นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการบริหาร บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS กล่าวว่า ในปี 2549 นี้ บริษัทตั้งเป้าขยายยอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่ผ่านมาอีก 30% โดยผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 พบว่าใกล้เคียงกับไตรมาส 3 ซึ่งตัวเลขไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้รวม 865.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มี 668.31 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มจาก 91.81 ล้านบาท เป็น 131.41 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2548
"ในไตรมาสสุดท้ายของปี 48 UMS มั่นใจยอดขายน่าจะสูงกว่าทุกไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เนื่องจากราคาถ่านหินจะอยู่ที่ประมาณ 2,200-2,500 บาทต่อตัน ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นมาจากปีที่ผ่านมาเกือบ 10% จากผลกระทบค่าเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งส่งผลดีต่อ UMS เพราะผู้ประกอบการที่เคยใช้น้ำมันเพื่อใช้ในโรง งานการผลิตสินค้า เชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการระดับกลางและเล็กหันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น"
สำหรับสาเหตุที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2549 เพิ่มขึ้นอีก 30% นั้น สืบเนื่องจากบริษัทจะได้รับผลดีจากการที่ราคาน้ำมันพุ่งต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2547 ทำให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตต่างปรับกลยุทธ์รับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ด้วยการเปลี่ยนเตาบอยล์เลอร์เพื่อใช้ถ่านหินเป็นเพลิง ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่หันมาเปลี่ยนเตาบอยล์เลอร์ใหม่หมด แต่เป็นการทยอยเปลี่ยนที่เริ่มตั้งแต่ปี 48 แล้ว
"บอกได้ยากว่าลูกค้าแต่ละรายจะปรับเปลี่ยนได้นานแค่ไหน เพราะแต่ละบริษัทที่เราทราบต่างก็เปลี่ยนเตาใหม่กันหมด เพื่อหันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมัน แต่เราตอบได้ยากว่าแต่ละรายจะใช้เวลานานเพียงใดในการปรับเปลี่ยน แต่คงทยอยตลอดทั้งปี" นายชัยวัฒน์ กล่าวและว่า จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้ผู้บริหาร UMS มั่นใจว่า จะส่งผลดีที่บริษัทจะได้รับ ขณะเดียวกันลิกไนต์ซึ่งเป็นถ่านหินชนิดหนึ่งพบว่าที่มีอยู่ในประเทศก็กำลังจะหมดลงแล้ว ถ่านหินจึงเป็นทางเลือกใหม่แทนการใช้น้ำมันและลิกไนต์
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ปีนี้ UMS ต้องหาลูกค้าเพิ่ม เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น นอกจากลูกค้าเดิมที่มีอยู่เดิม ทั้งนี้ UMS ไม่ได้เน้นลูกค้าระดับบนเนื่องจากมีการแข่งขันสูงและอำนาจต่อรองมาก ขณะที่การสร้างกำไรต่อหน่วยมีเพียง 5-7% ขณะที่ลูกค้ากลางและล่างกลับมีกำไรต่อหน่วยเกินกว่า 10% โดยมาร์จิ้นการจำหน่ายถ่านหินของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 25-30%
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจะมุ่งขยายฐานสู่ลูกค้าระดับกลางและเล็กเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำไรในระดับที่ดี ดังนั้นบริษัทจึงต้องปรับกลยุทธ์เพื่อดึงลูกค้ากลุ่มนั้น จากปี 2548 ที่ผ่านมาบริษัทมีลูกค้ากลุ่มนี้แล้วกว่า 100 ราย และปีนี้ตั้งเป้าได้ลูกค้าใหม่เข้ามาไม่ต่ำกว่า 20 ราย
"ปีนี้เราจะมีลูกค้าขนาดกลางถึงกลางไปหาใหญ่เข้ามาประมาณ 20 ราย แม้จะน้อยราย แต่ขนาดความต้องการใช้ถ่านหินจะสูงกว่า ซึ่งรายเล็กใช้ถ่านหินเดือนละ 500 ตันต่อเดือน ขณะที่ลูกค้าขนาดกลางใช้ที่ 500-2 พันตันต่อเดือน ซึ่งไซด์จะใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เท่ากับว่าปีนี้เราจะมีลูกค้า 120 รายแล้ว โดยปกติเราหาลูกค้าใหม่ได้เพิ่มปีละมากกว่า 30 ราย" นายชัยวัฒน์กล่าว
นอกจากการจำหน่ายในประเทศแล้ว UMS ยังมีสัญญาซื้อขายถ่านหินที่สำคัญกับผู้ผลิตถ่านหินที่สำคัญกับผู้ผลิตถ่านหินในต่างประเทศ โดยมีข้อตกลงที่จะซื้อถ่านหินในระหว่างปี 47 ถึงปี 49 ในปริมาณปีละ 528,000 - 776,000 เมตริกตัน ปริมาณและราคาที่ซื้อขายที่กำหนดแน่นอนแล้วในปี 2548 มีจำนวน 776,000 เมตริกตัน บวกลบ 10% ราคาของถ่านหินที่กำหนดแล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของถ่านหินจะต้องกำหนดราคาใหม่
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 3 ปี 48 บริษัทได้ทำสัญญาจ้างงานกับบริษัทในประเทศจำนวนสองแห่งบริษัทมีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างเหมาถมที่ดินและสัญญาจ้างงานออกแบบรายละเอียดบริหาร โครงการและการควบคุมการก่อสร้างโครงการก่อสร้างคลังสินค้าและท่าเทียบเรือรวมเป็นจำนวนเงิน 16.01 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นล่าสุด (17 ก.พ.) ราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า โดยมีราคาต่ำสุดที่ 15.50 บาท ก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทำราคาสูงสุดและปิดที่ 15.80 บาท สูงกว่าราคาปิดครั้งก่อน 0.20 บาท หรือ 1.28% ประมาณการซื้อขายรวม 156,700 หุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายรวม 2.46 ล้านบาท
|
|
|
|
|