ไทยออยล์ รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี หนุนกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท กำไรต่อหุ้น 9.19 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24% ขณะที่มี EBITDA รวมบริษัทย่อยกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%
นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวถึง ผลการดำเนินงานประจำปี 2548 สิ้นสุดณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 18,753.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15,072.64 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มจาก 7.82 บาท เป็น 9.19 บาทต่อหุ้น หรือกำไรเพิ่มขึ้น 3,680.47 ล้านบาท คิดเป็น 24.42%
ขณะที่ผลงานไตรมาส 4 ปี 2548 กำไรสุทธิ 5,277 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.59 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,024 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.49 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 253 ล้านบาท หรือ 5% มีผลมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของทั้งกลุ่มบริษัทย่อยโดยเฉพาะบริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด (TPX) และ บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) (TLB)
"การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคที่ลดลง ปริมาณน้ำมันคงเหลือในสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง ประกอบกับสภาพอากาศในช่วงฤดูหนาวที่มาช้ากว่าปกติ ทำให้ค่าการกลั่น (GRM) ของบริษัท อยู่ที่ระดับ 3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ มีEBITDA จำนวน 2,415 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 4 ปี 47 จำนวน 4,134 ล้านบาท ทำให้หลังจากหักค่าใช้จ่ายดำเนินการแล้ว บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 48 จำนวน 164 ล้านบาท"
อย่างไรก็ดี จากการดำเนินการของบริษัทย่อยที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้กำไรสุทธิส่วนของบริษัทย่อยในไตรมาสเพิ่มขึ้นเป็น 2,219 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 539 ล้านบาท และจากการที่ TLB มีความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 46 ถึงปี 48 โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 4,157 ล้านบาท 1,201 ล้านบาท และ 1,752 ล้านบาท ตามลำดับ จึงไม่มีเหตุจำเป็นที่จะตั้งปรับลดการด้อยมูลค่าทรัพย์สินของกิจการอีกต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจุบันมูลค่าสุทธิของทรัพย์สินที่ปรับด้อยค่าไว้มี 2,894 ล้านบาท TLB จึงมีการปรับมูลค่าโดยรายงานเป็นส่วนกำไร ทำให้กำไรสุทธิรวมของบริษัทย่อยในของไตรมาส 4 ปี 48 เป็น 5,113 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 4,574 ล้านบาทจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดังนั้น บริษัทฯจึงมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4ปี 48 รวมทั้งสิ้น 5,277 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 2.59 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ผลประกอบการรวมของปี 48 บริษัทและบริษัทย่อยมี EBITDA รวม 29,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14% จากปีก่อน เนื่องจากปัจจัยราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ไตรมาสแรก แม้ว่าได้ปรับตัวลดลงอย่างมากในไตรมาสสุดท้าย แต่ทำให้ GRM เฉลี่ยยังอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 6.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล รวมทั้ง EBITDA ของบริษัทย่อยที่เพิ่มขึ้นกว่า 362 %จากปีก่อน
โดยเฉพาะ TPX ซึ่งมีกำลังการผลิตและประสิทธิภาพสูงขึ้นหลังจากการเปลี่ยนสารเร่งปฏิกิริยา และจากการปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วงต้นปี 48 ประกอบกับราคาสารพาราไซลีน ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการของประเทศจีน และผลประกอบการที่ดีขึ้นของ TLB ที่มี EBITDA สูงขึ้นจากปัจจัยด้านบวกจากราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกซึ่งเป็นราคาฐานของราคาน้ำมันหล่อลื่นที่ปรับตัวสูงกว่าปีก่อน และกำลังการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานในภูมิภาคที่ค่อนข้างจำกัด
ขณะเดียวกัน ดอกเบี้ยจ่ายในปี 48 ยังลดลงจากปีก่อน 147 ล้านบาท จากการชำระคืนหนี้ก่อนกำหนดของบริษัทฯจำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯในเดือนมีนาคม 48 และ ความสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทฯในการจัดหาเงินกู้ใหม่จำนวน 330 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และออกหุ้นกู้ 10 ปีจำนวน 350ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อชำระหนี้เงินกู้เดิมทั้งจำนวนในเดือนมิถุนายน 48 ความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ยืมก่อนกำหนดของบริษัท ไทยออยล์มารีนจำกัด (TM) และบริษัทไทยออยล์เพาเวอร์ จำกัด (TP) คือการชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารในประเทศจำนวน 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 450 ล้านบาท ตามลำดับ
อีกทั้งความสำเร็จในการเจรจาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวของบริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด (IPT) กับสถาบันการเงินซึ่งมีผลตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 48 ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 18,753 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นเงิน 3,680 ล้านบาท โดยเป็นกำไรจากบริษัทฯ และบริษัทย่อย 9,596 ล้านบาทและ 9,157 ล้านบาทตามลำดับคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 9.19 บาทต่อหุ้น และส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิเพิ่มเป็น 66,852 ล้านบาทหรือคิดเป็น book value ต่อหุ้นที่ 32.77 บาทต่อหุ้น
ด้านฐานะการเงิน ณ สิ้นปี 2548 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 124,169 ล้านบาท หนี้สินรวม 57,316 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิ 66,852 ล้านบาท อัตราส่วนสภาพคล่อง 2.5 เท่า ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้รวมส่วนของผู้ถือหุ้น 0.9 เท่า
|