|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
CWT ปรับแผนสู่การผลิตเบาะและพวงมาลัยหนังสำหรับรถขนาดเล็กมากขึ้น หลังราคาน้ำมันพุ่ง ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ออกสู่ตลาด แม้มาร์จิ้นต่ำกว่าการผลิตให้กับรถยนต์รุ่นใหญ่ แต่ภาวะตลาดรถเล็กบูม จะทำให้รายได้เติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 1,200 ล้านบาท
นายวีระพล ไชยธีรัตต์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) (CWT) เปิดเผยว่าปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,200 ล้านบาท แต่กำไรประเมินได้ยากว่าจะแปรผันไปตามยอดขายหรือไม่ เพราะปี 48 ที่ผ่านมานั้น บริษัทได้รับกระทบจากปัจัยราคาน้ำมันทะยานต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่และหรูหันมาเน้นที่การผลิตรถยนต์ขนาดเล็กออกสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้ CWT ต้องปรับแผนการผลิตเบาะหนังและพวงมาลัยหนังสำหรับรถขนาดเล็กมากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น ผลงานไตรมาสสุดท้ายของปี 48 ที่กำลังจะประกาศออกมานั้นสูงกว่าผลงานไตรมาส 3 ปีเดียวกัน แต่ไม่มากนัก เนื่องจากภาพรวมแล้วก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้ภาพรวมของการดำเนินงานของปี 48 ผิดไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ชะลอการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เหมือน ต่างจากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
"เราต้องเข้าหารถยนต์ขนาดเล็กมากขึ้น เพราะรถหรูขนาดใหญ่เริ่มแย่ เนื่องจากน้ำมันราคาแพง เราจึงหันไปรถเล็กมากขึ้น เราต้องปรับแผนตามภาวะตลาดที่เปลี่ยนไปด้วยในปัจจุบัน รถกระบะถือว่ากำลังไปได้ดี แต่ก็เจอปัญหาราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้น " นายวีระพลกล่าว
การปรับแผนดังกล่าวส่งผลต่อมาร์จิ้น (กำไรขั้นต้น ) ของบริษัทบ้าง เพราะมาร์จิ้นจากการผลิตเบาะและพวงมาลัยหนังสำหรับรถยนต์ขนาดเล็กแม้จะน้อยกว่ารถยนต์ขนาดใหญ่ แต่ก็เป็นตลาดใหม่ที่จะเจาะเข้าไปทำได้มากขึ้น เพราะในปัจจุบันการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กจะได้รับความนิยมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ปริมาณการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ๆ ก็จะมีมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ การปรับแผนการผลิตดังกล่าว ยังช่วยให้ CWT ลดทุนการได้ด้วย
นายวีระพลกล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและนำมันแพง ส่งผลให้การดำเนินงานใตไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ขาดทุน ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนหน้ามีกำไร โดยเฉพาะไตรมาส 2 ขาดทุนถึงกว่า 50 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ขาดทุนลดลง เนื่องจากรายได้จากการขายลดลง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์หนังเบาะรถยนต์เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นของตลาดรถยนต์ ขณะที่ต้นทุนคงที่กลับเพิ่มขึ้น และยังต้องรับรู้ผลขาดทุนจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้ CWT จะหันมาผลิตสินค้ามาร์จิ้นจะต่ำลง แต่ตลาดก็กว้างขึ้นและต้องหาตลาดรถยนต์ขนาดเล็กเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้มากขึ้นด้วย แม้ว่าลูกค้าที่สั่งซื้อพวงมาลัยหนังกับรถเกือบทุกรุ่น แต่การผลิตเบาะหนังยังไม่คลุมทั้งหมด ซึ่งตลาดนี้เป็นเป้าหมายหลักที่บริษัทจะบุกเข้าไปทำตลาดในส่วนนี้บ้าง
สำหรับการร่วมทุนกับพันธมิตรเพื่อผลิตสินค้าต่อเนื่องกับการผลิตเบาะหนังและแคปซูลนั้น CWT ยังมีอยู่ในแผนงาน ในครึ่งปีแรกนี้ขอทำตลาดใหม่เพื่อทำเงินก่อน ส่วนการร่วมทุนกับพันธมิตรน่าจะเห็นผลในครึ่งปีหลัง เนื่องจากปัจจุบันโรงงานของ CWT ยังผลิตเพียง 70-75% เท่านั้น ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตคงต้องรออีกระยะหนึ่ง
"การร่วมทุนกับพันธมิตรก็ต้องรออีกระยะหนึ่ง เพราะเราไม่เร่ง และหากพันธมิตรจะเข้ามา เขาต้องย้ายเข้ามาทั้งโรงงานเลยและหากเขาย้ายฐานการผลิตเข้ามาในนี้จริง เราก็ต้องรองรับซึ่งปกติเราก็ผลิตให้เขาประมาณปีละ 100 ล้านบาท เขาเป็นลูกค้าของเราอยู่ เชื่อว่าครึ่งปีหลังน่าจะคุยกันได้มากขึ้น " นายวีระพลกล่าว
ทั้งนี้ เป็นผลจากเมื่อเดิมลูกค้าที่ทำธุรกิจร่วมกันอยู่ แต่เนื่องจากวัตถุดิบที่เป็นหนังนั้น พันธมิตรรายดังกล่าวต้องสั่งซื้อหนังจากไทยเสมอ ทำให้มีภาระต้นทุนเพิ่ม ประกอบกับที่ญี่ปุ่นมีการลดมลภาวะ ทำให้ผู้ประกอบการผลิตแคปซูลหาทางออกด้วยการย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ และเป็นผลดีที่ CWT ก็มีลูกค้าที่คุ้นเคยกันทำธุรกิจนี้อยู่บ้าง ดังนั้นการที่จะทำธุรกิจต่อเนื่องจากเดิมก็น่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า หลังจากที่คุยกันมาเป็นระยะ
โดยการหาเงินทุนเพื่อรองรับการขยายงานนั้น ในระยะนี้บริษัทยังไม่จำเป็นต้องการใช้เงินเพื่อขยายงาน หลังจากที่เมื่อปีก่อน CWT ได้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์ ) ให้กับประชาชนทั่วไปจำนวน 13,500,000 หน่วย ราคาหน่วยละ 11 บาท และบริษัทได้รับเงินทั้งสิ้น 148.50 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว บริษัทได้นำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน
สำหรับการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นนั้น คงต้องประชุมบอร์ดก่อน โดยปี 47 บริษัทจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอัตราหุ้นละ 80 สตางค์ และปี48 บริษัทยังประเมินไม่ได้ว่าจะจ่ายปันผลได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน
|
|
|
|
|