ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาแทคฮอยเออร์ได้มีการจัดแสดงนิทรรศการเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดนาฬิกาเพื่อการกีฬา
พร้อมทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ในการเป็นสปอนเซอร์จัดแข่งขันรถสูตร 1 (Formular
1) โดยแทคฮอยเออร์เป็นนาฬิกาที่ใช้ในการจับเวลาการแข่งขันครั้งนี้ด้วย
Guillaume Brochard ผู้จัดการฝ่ายการตลาดภูมิภาคเอเชีย ของแทคฮอยเออร์
เปิดเผยว่า งบโฆษณาของบริษัทแทคฮอยเออร์ทั่วโลกนั้นมีไม่น้อยกว่า 50 ล้านสวิสฟรังค์หรือประมาณ
1,000 ล้านบาทเศษ นอกจากนี้ยังมีงบประชาสัมพันธ์และสปอนเซอริ่งอีก 1,000
ล้านบาท
การโฆษณาของแทคฮอยเออร์ส่วนใหญ่จะเน้นโฆษณาที่ตัวของบริษัทมากกว่า โดยใช้แคมเปญว่า
"Success a smile game" หรือ "ประสานจินตภาพเพื่อความสำเร็จ"
ซึ่งจะใช้เหมือนกันทั่วโลก
อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ด้านการโฆษณาใหม่โดยเน้นที่ตัวสินค้ามากขึ้นเป็น
30% และโฆษณาตัวบริษัทแบบเดิมอีก 70% ทั้งนี้เนื่องจากได้มีการทำวิจัยในหลายประเทศแล้วพบว่า
มีคนเห็นโฆษณาของแทคฮอยเออร์มาก แต่นาฬิการุ่นใหม่ ๆ บางรุ่นคนกลับไม่เคยเห็น
การทุ่มงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์นี้ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญที่สุดของเแทคฯ
โดยเฉพาะการเป็นสปอนเซอร์จัดแข่งขันกีฬา 3 ประเภทคือ สกี เรือใบ และการแข่งขันรถสูตร
1 ทั้งนี้เนื่องจากแทคฮอยเออร์เป็นนาฬิกาเพื่อการกีฬาที่หรูหรา ราคาแพง ภาพลักษณ์ของนาฬิกาและแบรนด์เนมจัดเป็นสิ่งสำคัญมาก
"เราป้องกันคู่แข่งด้วยการเน้นสปอนเซอร์ทางด้านกีฬาเป็นอย่างมาก เพื่อรักษาความเป็นผู้นำสำหรับนาฬิกาเพื่อการกีฬาไว้
เพราะตรงนี้ถือเป็นจุดเด่นของเรา แทคฮอยเออร์เป็นนาฬิกาเพื่อการกีฬา 100%
ขณะที่ยี่ห้ออื่นอาจจะพยายามเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดตรงนี้บ้าง เช่นเขาอาจจะมีนาฬิกาหลาย
ๆ ประเภท โดยมีนาฬิกาเพื่อการกีฬาประมาณ 20-30% ดังนั้นคู่แข่งอื่น ๆ จึงจำเป็นต้องมีงบโฆษณาด้านอื่น
ๆ ด้วย ขณะที่แทคฮอยเออร์สามารถทุ่มงบทั้งหมดลงมาที่การกีฬาได้" โบชาร์ด
อธิบาย
แทคฮอยเออร์พยายามตอกย้ำในเรื่องนี้มาติดต่อกัน 5 ปีแล้ว และยังคงเน้นที่จุดเดิมนี้อยู่
เนื่องจากเล็งเห็นว่านาฬิกาประเภทแฟชั่นนั้น ขึ้นเร็วตกเร็ว ไม่แน่นอน ทำให้มีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจสูง
แต่หากมีจุดเด่นที่ชัดเจนและดำเนินกลยุทธ์อย่างถูกต้อง ทุกวันนี้เมื่อคนนึกถึงนาฬิกาประเภทกีฬาจะต้องนึกถึงแทคฮอยเออร์
ในปีที่ผ่านมาแทคฮอยเออร์มียอดขายทั่วโลกทั้งสิ้น 425 ล้านสวิสฟรังค์หรือประมาณ
9 พันกว่าล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมียอดขายในภูมิภาคเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น เกาหลีและจีนแล้ว
ประมาณ 25% จากยอดขายทั่วโลกโดย แบ่งเป็นยอดขายจากประเทศไทย 5% สิงคโปร์
5% และฮ่องกง 5% ส่วนที่เหลืออีก 10% คือประเทศอื่น ๆ รวมกัน
"ไทยมียอดขายเติบโตสูงที่สุดในภูมิภาคคือประมาณ 20% เศษ ตามมาด้วยมาเลเซีย
10% สิงคโปร์ 10% ไต้หวัน 10% ส่วนฮ่องกงตลาดไม่ค่อยเติบโตนัก แต่คาดว่าครึ่งปีหลังจะดีขึ้น"
โบชาร์ดกล่าว
ทั้งนี้สมชัย ตัณมานะศิริ ประธานบริษัท เอ.ซี.ไอ (ไทยแลนด์) จำกัด ตัวแทนนำเข้านาฬิกาแทคฮอยเออร์
เปิดเผยว่า แม้ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไทยซบเซาเช่นนี้ แต่ยอดขายของแทคฮอยเออร์ก็ยังไม่ตกลงเลยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
และคาดว่าสามารถรักษาอัตราการเติบโตที่ประมาณ 20% ไว้ได้ หากว่าสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นไปตามที่คาดเอาไว้
อย่างไรก็ตาม จากการที่ประเทศไทยมีนโยบายลอยตัวค่าเงินบาทออกมา ทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าแพงขึ้นประมาณ
20% ประกอบกับมีนโยบายที่จะเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% อีก สิ่งเหล่านี้ทำให้บริษัทต้องพยายามตรึงราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้
"เรากำลังเจรจากับทางบริษัทแม่อยู่ โดยจะขอให้เขาช่วยเหลือเช่นลดราคาสินค้าลงบางส่วน
เพื่อช่วยในเรื่องต้นทุนของเรา นอกจากนี้ก็จะนำเงินกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงต้นปีมาชดเชยกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
เพื่อที่จะตรึงราคาเอาไว้ให้ได้ถึงสิ้นปีเพราะไม่อยากเสียฐานลูกค้า แต่หากรับภาระไม่ไหวจริง
ๆ ก็อาจจะมีการปรับราคาบ้างประมาณ 10-15% เพื่อให้อยู่ได้" สมชัยกล่าว
ปกติบริษัทจะมีสต็อกสินค้าไว้ประมาณ 3 เดือน ซึ่งขณะนี้ก็ได้ยืนราคาเดิมมา
1 เดือนเศษแล้ว สมชัยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้คงจะตรึงราคาอยู่ได้ เนื่องจากได้เจรจากับทางบริษัทแม่ไปบ้างแล้ว
และทางบริษัทแม่เข้าใจดี
สำหรับแนวโน้มตลาดนาฬิการะดับบนของเมืองไทยในขณะนี้ เชื่อว่าตลาดยังมีความต้องการซื้ออยู่
เพียงแต่ต้องกระตุ้นมากขึ้น แผนการด้านการตลาดเช่นการปรับปรุงจุดขายของดีลเลอร์ทั่วประเทศก็ยังคงมีต่อไป
"ขณะนี้เรายังไม่มีการชะลอแผนใด ๆ ทั้งสิ้น อาจจะมีการลดงบประมาณการโฆษณาลงมาบ้างให้เหลือสัก
20-30% คือโฆษณาเพื่อให้รู้ว่าแทคฮอยเออร์ยังอยู่นะ เชื่อว่านาฬิกายี่ห้ออื่น
ๆ ก็คงไม่โหมโฆษณามากมายเหมือนช่วงที่เศรษฐกิจดีเช่นกัน" สมชัยกล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีดีลเลอร์ทั่วประเทศประมาณ 100 ราย แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ
50 รายและต่างจังหวัดอีก 50 ราย ขณะนี้ยังไม่มีแผนในการเพิ่มดีลเลอร์เนื่องจากเกรงว่าจะมีการขายตัดราคากันในหมู่ดีลเลอร์
อย่างไรก็ดีสมชัยมีแผนที่จะจัดตั้งสาขาของบริษัทเองให้มากขึ้น โดยปัจจุบันมีอยู่
3 สาขาคือที่ตึกอัมรินทร์ทาวเวอร์ สีลมคอมเพล็กซ์ และสยามเซ็นเตอร์ ส่วนที่เสรีเซ็นเตอร์นั้นเพิ่งยกเลิกไปเพราะไม่คุ้มกับการลงทุน
ขณะนี้กำลังมองหาทำเลใหม่โดยแต่ละสาขาจะลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 3-4 ล้านบาทไม่รวมค่าสต็อกสินค้า