|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"วิกรม กรมดิษฐ์" เอ็มดี นิคมอุตสาหกรรมอมตะ เชื่อใน 3ปี นิคมอุตฯโต20-30% รับอานิสงส์ฮับอิเล็กทรอนิกส์และฮับยานยนต์ อีกทั้งแรงเสริมจากระบบขนส่งที่ดีจากการเกิดเมกกะโปรเจ็กท์ แนะรัฐควรส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ 10-15%ของ GDP ด้านอมตะเร่งสร้างนิคมให้เป็นเมือง เตรียมหาพันธมิตรเสริมทัพ พร้อมสร้างระบบ Logistic ให้ลูกค้าในโครงการ
นิคมอุตสาหกรรมกำลังจะเป็นดาวเด่นในอนาคตอีกวาระหนึ่ง เนื่องเพราะมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากทางภาครัฐในหลายด้านที่ต้องการจะผลักดันให้ไทยเป็นศุนย์กลาง(ฮับ) ยานยนต์และฮับอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้นิคมอุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง
คาดนิคมอุตฯโต 30%ใน 3 ปี
วิกรม กรมดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางนิคมอุตสาหกรรมในอนาคตว่า จะอยู่ในทิศทางที่สดใส คาดว่าภายใน 3 ปี นิคมอุตสาหกรรมจะเติบโตได้กว่า 20-30% จากโครงการอิล็กทรอนิกส์ฮับ เพราะขณะนี้ยอดการส่งออกไทย ปี 2548 สินค้าอิเล็กทรอนิกสส่งออกได้กว่า 1.5 ล้านล้านบาท จากมูลค่าการส่งออกทั้งหมดอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท ซึ่งการผลักดันให้เป็นฮับอิเล็กทรอนิกส์ได้ จะทำให้เกิดการจ้างงานมาก สามารถนำแรงงานในภาคการเกษตรที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 36 ล้านคน มาทำให้เกิดมูลค่าGDP ที่เพิ่มขึ้นได้ จึงคาดว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะโตกว่า 1 เท่าตัว และทำให้นิคมอุตสาหกรรมโตตามไปด้วย
"ที่บอกว่านิคมอุตสาหกรรมโตไปด้วยเพราะนักธุรกิจต่างชาติจะขยายการลงทุนมาในไทย พื้นที่ตั้งนิคมฯที่มีอยู่ทั่วประเทศก็สามารถรองรับการเข้ามาลงทุนได้"
อีกทั้งโครงการฮับรถยนต์ ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 3-5 ปี ไทยจะผลิตรถได้ 2ล้านล้าน คันและสามารถส่งรถไปขายได้ทั่วโลกเพราะต้นทุนการผลิตที่ต่ำอีกทั้งผลิตได้ในจำนวนมาก ปัจจุบันไทยสามารถขายรถได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งขายอะไหล่รถยนต์ไป 140 ประเทศทั่วโลก อีกปัจจัยหนึ่งที่จะขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมให้โตกว่า 20-30%ได้ก็คือ โครงการเมกกะโปรเจกท์ที่รัฐบาลกำลังจะเริ่มขึ้น ทำให้ระบบโลจิสติกส์ในประเทศดีขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุนมากขึ้นด้วย ทั้ง ด้วย 2 เหตุผลนี้จึงทำให้ วิกรมมองว่านิคมอุตสาหกรรมจะสดใสอย่างแน่นอน
แนะส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ
นอกจากนั้นสิ่งที่จะผลักดันเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโตมากขึ้นนั้นเขามองว่ารัฐบาลควรจะชักจูงให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ให้ได้อย่างน้อย 10- 15% ของ GDP ประเทศ เพราะโอกาสการลงทุนล้มเหลวของบริษัทต่างประเทศมีอัตราส่วนที่ต่ำ อีกทั้ง ควรมีการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา หรือ R&D ให้แก่ทั่งระบบอุตสาหกรรม และระบบเกษตรกรรม และจะต้องมีการแก้กฎหมายบางตัวเพื่อส่งเสริมให้คนไทยที่ทำงานในต่างประเทศเข้ามาทำงานในประเทศเพื่อพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น
เมื่อถามถึงการเติบโตของอมตะเอง วิกรมกล่าวว่า ตอนนี้อมตะโตได้เรื่อยๆ มีแลนด์แบงก์อยู่ในมือกว่า 10,000 ไร่ ทั้งอมตะนครและอมตะซิตี้ อีกทั้งปี 2548 ที่ผ่านมาในส่วนของอมตะโต 50% และอมตะซิตี้ 47.3% และในส่วนของ เวียดนามนั้นโตก้าวกระโดดกว่า 200%
ขณะเดียวกันบริษัท อมตะกำลังพัฒนาพื้นที่ของในนิคมให้มีความครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยจะเน้น Core business อยู่ที่การทำนิคมอุตสาหกรรมอย่างเดียว และจะไม่ก้าวกระโดดเข้าไปทำธุรกิจอย่างอื่น แม้มีผู้ประกอบการรายอื่นก้าวเข้าไปทำคอนโดมีเนียมระดับบนบ้างแล้ว
มุ่งสร้างอมตะเป็นเมืองครบวงจร
สมหะทัย พานิชชีวะ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท บริษัท
อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมของนิคมอุตสาหกรรมตอนนี้เป็นเรื่องยากที่จะเกิดผู้เล่นหน้าใหม่ขึ้นมา เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ยังยึดติดอยู่กับการใช้ที่ดินของตนเองพัฒนาที่ดินมากกว่าที่จะไปกว้านซื้อ จึงคาดว่าจะยังไม่เห็นผู้เล่นหน้าใหม่ในระยะเวลาอันใกล้นี้ สำหรับในส่วนของอมตะเองจะยังไม่แตกไลน์ธุรกิจออกไปนอกจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม อีกทั้งนอกจากเวียดนามแล้วอมตะยังไม่มองออกไปจากตลาดต่างประเทศ ไม่สนใจที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศอื่นๆ เพราะสิ่งที่ตอนนี้ทางอมตะกำลังรุกทำก็คือการสร้างอมตะไม่ใช่เป็นแค่พื้นที่อุตสาหกรรมอย่างเดียว แต่จะจัดระบบให้เป็นเมืองๆหนึ่งให้ได้ ซึ่งถือเป็นโครงการใหญ่ของอมตะ
สำหรับแผนการปรับให้อมตะจากเดิมป็นแค่นิคมอุตสาหกรรมธรรมดามาเป็นเมืองที่ครบวงจร จะสามารถสร้างรายได้จากการขายพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเดิมรายได้จะยู่ในอัตราส่วนที่ดิน / การบริการ 72/28 มาอยู่ที่ 50/50 ให้ได้ ภายใน ปี พ.ศ. 2553 อีกทั้งรายได้ทีเข้ามานั้นจะเป็นรายได้ที่ยั่งยืน เพราะระบบบริการนั้นจะเก็บรายได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การขายที่ดินเมื่อหมดแล้วก็หมดไป
นอกจากนี้สมหะทัย บอกว่าบริษัทได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการไว้ คือจะดึงพันธมิตรมาร่วมลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ตั้งแต่ โรงพยาบาล โรงเรียน ศูนย์การค้า สนามกอล์ฟ ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ระบบขนส่ง โดยทั้งหมดนี้ ทางอมตะจะเข้าไปถือหุ้น และให้ทางพันธมิตรดำเนินงานเอง โดยพันธมิตรที่ตอบรับมาแล้วคือ โรงพยาบาลชลบุรี ที่จะเข้ามาให้บริการภายในอมตะนครทั้งหมด ซึ่งก็ได้เซ็น MOU ไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งสนามกอล์ฟที่ได้สปริง ซิตี้ มาเป็นพันธมิตร
โลจิสติกส์เพิ่ม "พรีเมี่ยม"อมตะ
นอกจากนั้นมีการจัดทำระบบขนส่งภายในเมืองอมตะนครแล้ว สิ่งหนึ่งที่มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับระบบนิคมอุตสาหกรรมที่ สมฤทัยเล็งเห็นก็คือ การสร้างระบบโลจิสติกส์ให้กับโรงงานในอมตะ โดยจะจัดระบบสร้าง Warehouse ขนาดใหญ่ และเสนอการจัดระบบหีบห่อให้กับแต่ละบริษัทอีกด้วย และจัดการระบบการขนส่งให้ทั้งหมด โดยจะประสานกับ KLINE, TTK เพื่อเข้ามาช่วยจัดระบบให้ ทั้งนี้ ทางอมตะอยู่ขั้นตอนการเจรจากับหลายบริษัทเพื่อเข้ามาดำเนินโครงการให้ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกาและไต้หวัน
ทั้งนี้ สมหะทัย บอกว่า ทางบริษัทอมตะฯไม่คิดที่แตกไลน์ธุรกิขยายระบบโลจิสติกส์ออกมาเป็นอีกธุรกิจหลัก เพราะทางอมตะต้องการสร้าง "พรีเมี่ยม" ให้กับอมตะเอง เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพอใจสูงสุด ซึ่งโรงงานที่อยู่ในอมตะในขนาดนี้จะมี Warehouse เป็นของตัวเองและมีระบบขนส่งเป็นของตัวเองแล้ว แต่ว่าในอนาคตเมื่อกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น Warehouse เหล่านั้นก็ต้องกลายเป็นแหล่งกำลังการผลิตไป โดยทางอมตะเองเข้ามาจัดการระบบโลจิสติกส์ให้ ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น เพราะอมตะสามารถจัดการระบบขนส่งที่สนองความต้องการลูกค้าได้สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นทางรถไฟที่อยู่ด้านหลังอมตะ ถนนที่อยู่ด้านหน้าโครงการที่มีทั้งรถบรรทุก รถลาก และคอนเทนเนอร์ เสนอให้ลูกค้าได้เลือกสรร
คาดญี่ปุ่นลงทุนไทยเพิ่ม
เมื่อมองจากนโยบายสนับสนุนการลงทุนของรัฐบาล ที่กำลังผลักดันอยู่ในขณะนี้ สมหทัยคาดว่าในอนาคต นักลงทุนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ถึงแม้จีนจะมีต้นทุนการผลิตถูก แต่เป็นที่ทราบกันดีกว่า ผู้ประกอบการหลายๆคนที่ไปลงทุนประเทศจีนมาต่างเจอปัญหา การที่จีนลอกเลียนแบบสินค้า แล้วไปผลิตออกมาขายราคาถูกกว่าครึ่งต่อครึ่ง
ปัจจุบัน อมตะมีลูกค้าที่เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่นกว่า 60% แต่ทางอมตะยังมีพื้นที่เหลืออยู่อีกมากกว่า 10,000 ไร่ อยู่ทั้งบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ และที่ระยอง ซึ่งคาดว่าทางอมตะจะรักษาสัดส่วน ฐานลูกค้าญี่ปุ่นไว้ได้ 60%เช่นเดิม แม้ฐานลูกค้าจะกว้างขึ้น
อย่างไรก็ดีสมหะทัย บอกว่า ตลาดโลกกำลัง ต้องการ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเคมีคอล ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้ล้ำสมัยขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับระบบอุตสาหกรรมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี จึงทำให้ทางอมตะเซ็น MOU กับทางสิงคโปร์เพื่อเตรียมสร้างอุทยานวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะสร้างให้แต่ละบริษัทมาเช่าพื้นที่ที่มีเทคโนโลยีระดับสูง อีกทั้งทำการสร้างระบบR&D รองรับความต้องการของนักลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
|
|
|
|
|