อภิมหาดีล 7.3 หมื่นล้านอาจเป็นหมัน เหตุทำผิดเจตนารมณ์ทางกฎหมาย เครือข่ายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคเตรียมยื่นศาลปกครอง ให้ยกเลิกรับจดทะเบียนซื้อขายหุ้น อายัดหุ้นเป็นกรณีฉุกเฉิน วงในชี้เหตุ “ทักษิณ” ยังหวงอำนาจ เพราะหล่นจากตำแหน่งเมื่อไร โดน “เช็คบิล” น่วมวันนั้น เปิดโมเดลเลี่ยงภาษีของภาคเอกชน และตลาดทุนชนิดกฎหมายเอาผิดไม่ได้
เป็นไปได้ว่าเหตุผลที่ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรียังทำเป็นดื้อตาใส ไม่สนใจกระแสขับไล่ที่เกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง ก็เพราะเกรงว่าหากหลุดจากอำนาจเมื่อใดจะถูกประชาชน องค์กร และหน่วยงานต่างๆ รุม “เช็คบิล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นความไม่ชอบธรรมในการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับกลุ่มทุนเทมาเส็กแห่งสิงคโปร์ ที่มิเพียงผิดในด้านจริยธรรมที่คนทั้งประเทศไทยต่างรับรู้กันโดยทั่วไปเท่านั้น แต่ยังผิดในแง่ของการหลีกเลี่ยงเจตนารมณ์ของกฎหมายมาตรา 150 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อีกด้วย (อ่านล้อมกรอบ มาตรา 150 เอาผิดชินคอร์ป)
“หากทักษิณหมดอำนาจคนที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองต้องหันมาสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง และสถาบันด้วยการหันมาตรวจสอบดีลที่ผิดปกตินี้กันอย่างเต็มที่” นักกฎหมายรายหนึ่งให้ความเห็น
สุวัตร อภัยภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สำนักงานกฎหมาย บัญชี และธุรกิจ อรุณอัมรินทร์ จำกัด อดีตรองเลขาธิการสภาทนายความ และกรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย กล่าวว่า การที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรับจดทะเบียนการโอนขายหุ้นระหว่างกลุ่มบุคคลในครอบครัวนายกรัฐมนตรี กับเทมาเส็กและกลุ่มตัวแทนของเทมาเส็กนั้น ไม่ชอบด้วยตัวบทกฎหมายแน่นอน
เขายังกล่าวอีกว่า แม้จะไม่พูดถึงความไม่ชอบธรรมในการที่รัฐบาลทักษิณออกกฎหมายเพื่อขยายการถือครองหุ้นของทุนต่างชาติจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 49 เพื่อขายหุ้นให้ทุนต่างชาติในทันทีที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ อันเป็นการคอร์รัปชั่นที่เห็นได้อย่างชัดเจน แต่มีพฤติการณ์ที่ส่อให้เห็นว่า บริษัทสัญชาติไทยได้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งแทนเทมาเส็ก จนทำให้กลุ่มทุนต่างชาติถือหุ้นในชินคอร์ปรวมทั้งสิ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และการซื้อขายครั้งนี้เป็นการซื้อขายในคราวเดียวกัน โดยมีวัตถุประสงค์ของการซื้อขายเพื่อให้เทมาเส็กเป็นผู้ถือหุ้นข้างมากเกินกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
“ก.ล.ต.นั่งอยู่ข้างบนนี้เห็นแล้ว เม็ดเงินที่เข้ามา มาทั้งนอมินี มาทั้งซื้อหุ้น รวมแล้วมันเกินคุณนั่งดูกฎหมายฉบับนี้ คุณนั่งดูได้อย่างไร คุณรู้ว่าตอนนี้เม็ดเงินที่เทมาเส็กถือหุ้นอยู่เท่าไร แต่การที่ปล่อยให้เขาใช้อุบาย หรือใช้ช่องว่างของกฎหมายออกนั่นถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งก.ล.ต. ต้องดูแล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะปฏิเสธว่าเป็นการซื้อหุ้นในตลาด ถูกต้องตามกฎหมาย นั่นคุณพูดมุมเดียว ไม่พูดภาพรวมว่าในที่สุดหุ้นทั้งหมดไปอยู่ในมือของใคร ถ้าไปอยู่ในมือของเทมาเส็กเกินกว่าสัดส่วนตามกฎหมายถือว่าขณะนี้ปฏิบัติผิดกฎหมายแล้ว การจำหน่ายถ่ายโอนนั้นเป็นการฉ้อฉล ซึ่งจะต้องถูกยกเลิกเพิกถอน”
ดังนั้น สัญญาซื้อขายหุ้นชินคอร์ปครั้งนี้ จึงเป็นนิติกรรมที่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 การที่ตลาดฯ ยอมรับการจดทะเบียนการซื้อขายหุ้นรายนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย องค์กรภาคเอกชนและประชาชนจึงมีสิทธิทวงคืนหุ้นชินคอร์ปโดยอาศัยช่องทางกฎหมายต่อองค์กรที่ประชาชนยังหวังเป็นที่พึ่งพิงได้ เพื่อมิให้กิจการสื่อสารและโทรคมนาคมตกไปอยู่ในกำมือของทุนต่างชาติ
“ต้องรีบเร่งยื่นฟ้องตลาดฯ และกลุ่มบุคคลที่ทำการซื้อและขายหุ้นรายนี้เป็นจำเลยต่อศาลปกครอง เพื่อให้มีคำสั่งยกเลิกการรับจดทะเบียนซื้อขายหุ้นรายนี้ที่ได้กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในตลาดฯ โดยขอให้ศาลปกครองใช้วิธีการบรรเทาความเสียหาย มีคำสั่งระงับการโอนหุ้นชินคอร์ปจำนวนนี้ รวมทั้งอายัดเงินที่ได้จากการขายหุ้นเป็นกรณีฉุกเฉิน เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกต่อไป” สุวัตร กล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวเพื่อให้ “ดีล” ระหว่างชินคอร์ป กับเทมาเส็กเป็นโมฆะนั้น สัปดาห์นี้ รสนา โตสิตระกูล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคจะร่วมกับสภาทนายความยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนประกาศของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่ให้มีการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็ก เพราะอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการตรวจสอบพบว่าหุ้นที่ต่างชาติถืออยู่เกินกว่าร้อยละ 49 ตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว สั่งระงับห้ามเคลื่อนย้ายหุ้นที่มีการขายไว้จนกว่าศาลมีคำพิพากษา
ทั้งนี้ เนื่องจากตัวแทนเครือข่ายฯ ไม่เชื่อว่า ก.ล.ต.จะตรวจสอบการขายหุ้นชินคอร์ปด้วยความโปร่งใส ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่จะเชื่อเช่นนั้น เพราะหากดูการดำเนินการของก.ล.ต. หรือแม้แต่หน่วยงานราชการของรัฐอื่นๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า “ปกป้อง” การซื้อขายหุ้นครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัด
อันที่จริงการเดินหน้าของกลุ่มต่างๆที่เรียกร้องให้มีการตรวจสอบการแสดงบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินของนายกรัฐมนตรี มีมากมายหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มของวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่มาพร้อมกับ น.พ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย ที่ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
รวมถึง โพธิพงศ์ บรรลือวงศ์ อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ที่ยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุด สอบการซุกหุ้นในต่างประเทศของตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ โดยถ้อยความหนึ่งในหนังสือที่ยื่นนั้นระบุว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 67 บัญญัติหน้าที่ชนชาวไทย ซึ่งกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร การมีเงินได้แต่ไม่ต้องเสียภาษีเช่นตระกูลชินวัตรเป็นอยู่นี้จึงขัดกับหลักการดังกล่าว
แม้จะมีการอ้างว่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ได้ยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ เนื่องจากประมวลรัษฎากรไม่ได้กำหนดคำนิยามเรื่องหลักเกณฑ์ดังกล่าวไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้มีเงินได้ที่เป็นเงินสดต้องเสียภาษีในระบบบัญชีเงินสด อีกทั้งโดยพฤติกรรมของการซื้อขายครั้งนี้เป็นการจงใจหลีกเลี่ยงที่จะไม่ซื้อขายหลักทรัพย์ของแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ซึ่งเป็นบริษัทลูกของชินคอร์ป
ดังนั้น โดยอาศัยหลักเกณฑ์ของประมวลรัษฎากรการซื้อขายหุ้นดังกล่าวเป็นการจงใจหลบเลี่ยงภาษี และขอให้ได้โปรดดำเนินการออกคำสั่งเพิกถอนสิทธิในการทำการค้าของชินคอร์ปโดยด่วน เพื่อระงับการดำเนินกิจการใดๆ อันเป็นกิจการที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐที่ไม่อาจให้คนต่างชาติถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
นี่คือส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวที่ให้ “ดีล” ที่แสนจะซับซ้อน ซ่อนเงื่อน หมกเม็ด ไม่โปร่งใส กลายเป็น “โมฆะ” ให้ได้ ซึ่งไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ และประชาชนชาวไทยทั้งนั้น
จริงอยู่ที่ความเคลื่อนไหวเหล่านี้อาจตั้งอยู่บนความหวังลมๆแล้งๆ เพราะตราบใดที่ “ทักษิณ” ยังคงครองอำนาจอยู่นั้น ย่อมอย่าหวังเลยที่หน่วยงานภายใต้การดูแลของภาครัฐหน่วยงานใดจะเข้ามาตรวจสอบ และ “ฟัน” ลงไปว่าการซื้อขายหุ้นในวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้นศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญที่ประชาชนยังพอพึ่งพิงในความยุติธรรมได้
แต่ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ต้องขอยกเครดิตให้กับ สุวรรณ วลัยเสถียร นักกฎหมายมือวางอันดับหนึ่งของไทย และโฆษกของตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ที่สามารถทำให้ “ดีลสีดำ” กลายเป็น “ดีลสีเทา” หลุดจากความผิดทางกฎหมายด้วยประการทั้งปวง เพียงแต่วันที่จะเอาผิดทักษิณได้ยังมาไม่ถึง แต่เชื่อว่าคงอีกไม่นานนี้ ต้องจับตา
ตลาดทุนเลี่ยงถูกกฎหมาย
ในฟากตลาดหุ้นวิธีการหลีกเลี่ยงภาษีถือเป็นช่องทางที่ทำได้อย่างเปิดเผย ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาจึงนิยมเลือกช่องทางดังกล่าว เพื่อทำให้เสียภาษีน้อยที่สุด ที่สำคัญคือภายใต้การเข้ามาของพรรคไทยรักไทย ได้ใช้มาตรการทางภาษีเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในหลายส่วน
เริ่มจากมาตรการส่งเสริมพัฒนาตลาดทุน ปี 2544 ที่รัฐบาลไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศสมัยแรก ได้ใช้วิธีการลดหย่อนภาษีเพื่อจูงใจให้บริษัทต่าง ๆ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น โดยให้สิทธิประโยชน์ในการเสียภาษีจากเดิมที่ต้องเสียภาษีนิติบุคคลที่ 30% โดยบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) จะเสียภาษีเพียง 25% ส่วนบริษัทขนาดเล็กที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่(MAI) เสียภาษีเพียง 20% พร้อมทั้งให้สิทธิทางภาษีกับบริษัทจดทะเบียนเดิมเสียภาษี 25% เป็นระยะเวลา 5 รอบบัญชี
ที่ผ่านมาได้ผ่อนปรนให้บริษัทที่ยื่นขอจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง SET และ MAI เมื่อปี 2548 สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้จนถึงปี 2549 จะเห็นได้ว่านี่คือวิธีการไม่เสียภาษีตามข้อกำหนดเดิมที่ถูกกฎหมาย
นอกจากนี้สิทธิประโยชน์ของผู้ลงทุนบุคคล ยังได้รับการยกเว้นภาษีจากส่วนต่างของราคาหุ้น นั่นคือกำไรจากการซื้อขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งเป็นหลักการปฏิบัติที่มีมายาวนาน และวิธีการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ชิน คอร์ป ไม่ว่าจะเป็นพานทองแท้หรือพิณทองทา ชินวัตร และบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ก็ใช้หลักการนี้เช่นกัน เพราะเป็นการขายในนามบุคคล
วิธีการหลบเลี่ยงภาษีหรือหากใช้คำที่ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ชอบใช้คือ "การวางแผนภาษี" นั้นยังมีอีกมาก โดยอาศัยกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ที่เปิดช่องให้ ใช้ประมวลรัษฎากรของกรมสรรพากรมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์
ที่ปรึกษามืออาชีพเลี่ยงภาษี
วาณิชธนกิจกล่าวว่า หน้าที่ของพวกเราคือต้องทำให้ความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาว่าจ้างบรรลุวัตถุประสงค์ พร้อมทั้งให้คำแนะนำปรึกษาที่จะสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ลูกค้า แน่นอนว่าเรื่องการประหยัดภาษีก็เป็นแนวทางหนึ่งที่เราให้คำแนะนำ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับโจทย์ที่ลูกค้ากำหนดว่าเป็นรูปแบบใด จึงจะออกแบบแนวทางในการทำงานของเราได้
มีหน่วยงาน 3 ส่วนประกอบด้วยทีมการเงินที่เชี่ยวชาญเรื่องรูปแบบธุรกิจ ทีมบัญชีที่จะแนะนำได้ว่าควรจะลงบัญชีอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า ที่สำคัญคือทีมกฎหมายที่จะต้องทราบถึงช่องว่างของกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของทางการได้อย่างดี
"เรายอมรับว่าบางกรณีเดินบนพื้นที่สีเทา ไม่ขาวแต่ไม่ดำ แต่นั่นถือเป็นสิทธิของลูกค้าและเป็นสิทธิของเราด้วยเช่นกันว่าจะรับทำหรือไม่ อย่าลืมว่านี่คือธุรกิจหากเราไม่ทำ ค่ายอื่นก็รับทำ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะกล้าพอหรือไม่"
สิ่งที่รัฐบาลแก้เกณฑ์เรื่องภาษีก็ถือเป็นการเลี่ยงภาษีทางหนึ่ง เพราะบริษัทที่อยู่นอกตลาดก็ต้องเสียภาษีนิติบุคคล 30%
วิธีการขายหุ้นชิน คอร์ป เป็นการใช้สิทธิทางภาษีที่ซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหลายบริษัทก็ใช้วิธีอย่างนี้ นอกจากนั้นวิธีการทางบัญชีก็ช่วยลดภาษีให้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้เช่นกัน (อ่านรายละเอียด"ช่องโหว่ที่เปิดให้กับนายทุนกระเป๋าหนัก" หน้า A 13)
"เราอาจเคยเห็นการเข้าซื้อบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ที่มีผลขาดทุนมหาศาล แต่ซื้อขายกันในราคา 1 บาท ภาระขาดทุนของบริษัทที่ถูกซื้อมาจะถูกนำมาใช้หักเป็นค่าใช้จ่ายในระบบบัญชีได้ หรือรายการควบรวมกิจการบางกรณีก็มีการตีค่าความนิยม(Good Will) ให้สูงกว่าความเป็นจริง เพื่อนำเอารายการนี้มาใช้หักเป็นค่าใช้จ่าย ได้ประโยชน์ทางภาษีไปไม่น้อย"
การทำให้ภาระภาษีน้อยลงนั้น คงต้องขึ้นอยู่กับธุรกรรมที่เกิดขึ้น จึงจะมองได้ว่าที่ปรึกษาทางการเงินนั้นเจตนาช่วยลูกค้าอย่างไร แต่แน่นอนว่าพวกเขาต้องใช้ช่องว่างทางกฏหมาย ช่องว่างทางการลงทุนและช่องว่างทางบัญชีนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า
กระบวนการทำให้ภาคธุรกิจเสียภาษีน้อยที่สุดนั้น ฝ่ายกฎหมายถือว่ามีความสำคัญมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องศึกษากฎหมายของกรมสรรพากรให้ทะลุ รวมทั้งกฎระเบียบ ประกาศใหม่ ๆ ที่ออกมาทั้งจากหน่วยงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมักจะผ่านความเห็นชอบมาจากภาครัฐบาลผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เลี่ยงภาษีภาคบุคคล
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้นำเอามาตรการทางภาษีมากระตุ้นกองทุนรวม เพื่อสนับสนุนตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ทางอ้อม จากเดิมที่ให้สิทธิทางภาษีไปก่อนหน้าก็ได้เพิ่มการหักลดหย่อนจากการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) และกองทุนหุ้นระยะยาว(LTF) กองละ 300,000 บาท รวมแล้ว 600,000 บาท ซึ่งเป็นการช่วยเหลือในภาคบุคคลเพื่อให้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาน้อยลง รวมไปถึงการเว้นภาษีผู้มีรายได้สุทธิไม่เกิน 1 แสนบาทที่ไม่ต้องเสียภาษี
หรือการให้นำเอาบิดามารดาที่มีรายได้ต่ำกว่าคนละ 30,000 บาท อายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ผู้มีเงินได้และ คู่สมรสมีสิทธิหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาได้เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมารัฐได้สอนให้ประชาชนเลี่ยงภาษีมาโดยตลอด จนกลางเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แม้โดยรวมแล้วกรมสรรพากรจะเป็นผู้เสียประโยชน์จากการจัดเก็บภาษีได้น้อยลง แต่ในภาคบุคคลแม้จะเสียภาษีน้อยลง แต่ต้องกลับไปดูว่ารายได้ที่หายไปถูกชดเชยกลับมาด้วยภาษีมูลค่าเพิ่มที่ประชาชนเมื่อได้ภาษีคืน พฤติกรรมส่วนใหญ่จะนำเงินที่ได้คืนไปใช้จับจ่ายใช้สอย
*************
“สุวรรณ วลัยเสถียร”จากมือกฎหมายสู่ถนนการเมือง
หากจะถามว่าเมื่อครั้งที่ “ สุวรรณ วลัยเสถียร ” มีบทบาทโดดเด่น สะดุดตามากเท่ากับบทบาทในฐานะ “โฆษกประจำตระกูลชินวัตร ”หรือไม่ คงต้องบอกว่าต่างกันลิบลับ..!
แม้คนอย่างสุวรรณ วลัยเสถียร จะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เมื่อ 8 ปีก่อนก็ตาม แต่แวดวงการเมือง กลับไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดหรือทำได้ดีที่สุด หากเทียบกับความรู้ ความช่ำชองในเรื่อง “หลบเลี่ยงภาษี”จนสามารถสร้างความร่ำรวย ให้เศรษฐีจากชั้นกลางก้าวขึ้นสู่ระดับ “มหาเศรษฐี”นั้น มีมากกว่าหลายเท่าตัวนัก จนบรรดานักธุรกิจในประเทศไทยต่างให้การยอมรับอย่างแพร่หลาย
อย่างไรก็ตาม ดร.สุวรรณ เคยได้รับโอกาสทองจากนายกฯทักษิณ ให้เข้ามานั่งบริหารงานในครม.ในช่วง เดือนก.พ. 2544 ฐานะ รมช.พาณิชย์ ว่ากันว่าเก้าอี้สำคัญด้านเศรษฐกิจครั้งนั้นเสมือน “รางวัล” การปูนบำเหน็จหลังจากที่ดร.สุวรรณ ปฏิบัติภารกิจใหญ่สำเร็จ นั่นคือการช่วยนายกฯทักษิณ และครอบครัวชินวัตรจากคดี “ซุกหุ้นรอบแรก” โดยซุกซ่อนทรัพย์สินและหุ้นฝากไว้ในมือ คนรับใช้ คนสวน คนในบ้านอย่างแนบเนียน ซึ่งการเข้ารับตำแหน่งที่กระทรวงพาณิชย์ ของดร.สุวรรณ ในช่วง “ทักษิณ1”นั้นต้องบอกว่ามีผลงานที่โดดเด่น ไม่เสียชื่อเซียนการเงิน
ภายในเวลา 1 ปี 8 เดือนที่ดร.สุวรรณ นั่งบริหารงานในตำแหน่งรมช.พาณิชย์ นั้นต้องถือว่ามีผลงานที่น่าพอใจและได้รับการขานรับค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นการออกนโยบายเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้กับผู้บริโภค คือการสั่งให้ปรับลดเบี้ยประกันรถซึ่งในขณะนั้นหลายคนบอกว่าเป็นเหมือน “ของขวัญปีใหม่”ให้แก่คนไทยที่ถือเดือนเมษายนเป็นปีใหม่ไทย ซึ่งมาตรการดังกล่าวออกมาในวันที่ 1 เม.ย.2545 โดยสั่งให้มีการปรับลดดอกเบี้ยประกันพ.ร.บ.ลง โดยรถปิกอัพ จากเดิมที่เคยเก็บที่ 1,500 บาทต่อคัน ถูกลดลงเหลือ 1,100 บาท ขณะที่รถยนต์ส่วนบุคคล ลดลงเหลือ 850 บาทต่อคันจากเดิมอยู่ที่ 950 บาท หลังจากนโยบายดังกล่าวออกมาบังคับใช้ปรากฏว่าเป็นที่ถูกใจของประชาชนที่ซื้อประกันอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้แม้จะมีเสียงโจมตีบริษัทประกันภัยที่ได้เม็ดเงินก้อนโตจากผลกำไรในทุกปี แต่กลับไม่มีการคืนกำไรหรือลดหย่อนให้กับผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม
นอกจากนี้ยังได้มีการรณรงค์ให้ความสำคัญของการประกันภัยพ.ร.บ.ตามในธุรกิจประกันภัย ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 รณรงค์ลดตัวเลขจำนวนสติกเกอร์หายซึ่งตั้งเป้าไว้ 30%-40% แต่ด้วยฝีมือของดร.สุวรรณ ในครั้งนั้น ปรากฎว่าสามารถบริหารเครื่องหมายการรับประกันภัย สูญหายลดลง 88% ช่วยลดต้นทุนการพิมพ์สติกเกอร์ โดยไม่ต้องมีสินค้าคงเหลือ
อย่างไรก็ตามดร.สุวรรณ ยังได้เสนอเรื่องร้อนต่อนายกฯทักษิณ เพื่อให้ครม.เห็นชอบอนุมัติให้มีการเพิ่มวงเงินเบี้ยประกันภัยนำไปลดหย่อนภาษีจาก 1 หมื่นบาท เป็น 5 หมื่นบาท ก็สามารถสำเร็จออกมาเป็นรูปธรรม จนหลายคนบอกว่าเป็นข่าวดีในรอบ 10 ปีของธุรกิจประกันชีวิต ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายคนพยายามผลักดันแต่ไม่เป็นผล
ส่วนเรื่องที่ยังค้างคาและเป็นแนวคิดที่ ดร.สุวรรณ พยายามจะทำให้เป็นจริงก่อนที่เขาจะพ้นตำแหน่งรมช.พาณิชย์ คือ แนวคิดการนำเงินกองทุนผู้ประสบภัยจากรถ 1,900 ล้านบาท ไปหาทางต่อยอด ให้เกิดผลกำไร โดยมีแผนที่จะให้ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุ 18 ปี ซึ่งยังให้ผลตอบแทน 5%
นอกจากการเข้าไปกำกับดูแลคลี่คลายปัญหาด้านธุรกิจประกันภัยแล้ว ดร.สุวรรณ ยังได้เคยเสนอให้ใช้กฎหมายผังเมืองกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เพื่อหวังดูแลเรื่องการแข่งขันทางการค้า สืบเนื่องจากที่ก่อนหน้านั้น ปัญหาร้านสะดวกซื้อได้เข้ามาตีตลาด ส่งผลให้ร้านโชว์ห่วย ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จึงมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาให้ความสนใจ ในที่สุดดร.สุวรรณ ได้เสนให้ใช้กฎหมายผังเมืองกำกับห้างขนาดใหญ่ หารือกับสำนักงานผังเมือง ในราวเดือนต.ค. 2544
แต่ดูเหมือนความเดือดร้อนของบรรดาเจ้าของร้านโชว์ห่วย ยังไม่ได้รับการบรรเทาลงไป ดังนั้นหลังจากที่ดร.สุวรรณ เข้าทำงานไปได้เพียง 6 เดือนจึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ากระทรวงพาณิชย์ทำงานล่าช้า รมช.พาณิชย์ไม่มีผลงาน ในที่สุดดร.สุวรรณ ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันทั้งจากภาคเอกชนและ ร้านค้าของชำ ที่ออกมาเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง
แต่คนอย่างดร.สุวรรณ กลับไม่ได้สะทกสะท้านต่อแรงเสียดทานดังกล่าวแต่อย่างใด กลับออกมาตอบโต้ว่าผู้ค้าย่อย ร้ายโชว์ห่วยทั้งหลายต้องลุกขึ้นมาเร่งปรับตัวทั้งในด้านเทคนิค การค้า และการบริการ พร้อมทั้งแนะให้ใช้เงินกู้หมู่บ้านฯ ปรับโฉมสู้ บรรดาร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่น แถมยังแจกหนังสือเคล็ดลับสูตรสำเร็จค้าปลีก 5 หมื่นเล่ม เพื่อใช้เป็นคู่มือ
ต่อมาในปี2545 กระทรวงมหาดไทย ในฐานะกำกับดูแลสำนักผังเมือง ได้แจ้งกลับมาว่าไม่สามารถดูแลในปัญหาดังกล่าวได้เนื่องจากกฎหมายผังเมืองไม่ได้มีไว้เพื่อดูแลเรื่องการค้าปลีก จากนั้นเมื่อเก้าอี้รมช.พาณิชย์ ถูกเปลี่ยนไปสู่ยุคของ “เนวิน ชิดชอบ” ได้แจ้งว่าการนำกฎหมาย การจำกัดเขต จำกัดเวลากับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ (โซนนิ่ง) เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้เพราะสายเกินแก้ และได้หันมาดูแลให้ความชอบธรรมในการแข่งขันและร่างกฎหมายค้าปลีกแทน
ในปี 2545 เมื่อนายกฯทักษิณ สั่งปรับครม.ครั้งใหม่เข้าสู่ยุค “ทักษิณ6” ดร.สุวรรณ ได้หลุดโผ พ้นจากเก้าอี้รมช.พาณิชย์ ไปตามวาระหลังจากการ “ตอบแทน”ของนายกฯทักษิณ จบสิ้นลง สำหรับรายการทรัพย์สินที่ดร.สุวรรณ ได้แสดงต่อคณะกรรมการป.ป.ช.หลังพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปีนั้นได้สร้างความสนใจต่อสาธารณชนไม่น้อยเนื่องจากได้แจ้งทรัพย์สินเมื่อครั้งพ้นจากตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ จำนวน 634,085,787 บาท ขณะที่ทรัพย์สินในปัจุบันเพิ่มขึ้นหลังจากพ้นตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ จำนวน 79,143,293 บาท
โดยดร. สุวรรณ แจ้งที่มาของทรัพย์สินว่าเพิ่มขึ้นมาจากหลักทรัพย์ และเงินลงทุนอื่น 77,980,903บาท และเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ 2 ล้านบาท ขณะที่ ดวงใจ วลัยเสถียร คู่สมรส มีทรัพย์สินจำนวน 146,319,812 บาท
หลายปีที่ผ่านมา ข่าวคราวของดร.สุวรรณ นั้นไม่ได้ถูกบันทึกว่าเข้ามาข้องแวะในทางการเมืองแต่อย่างใด เวลาส่วนใหญ่ได้ถูกจัดสรรไปรับหน้าที่ให้คำแนะนำเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายกิจการธุรกิจ และหน่วยงานของภาครัฐหลายสิบแห่ง โดยคิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมง แม้ค่าบริการจะสูงแค่ไหนก็ตาม ว่ากันว่านักธุรกิจยังพากันต่อคิวกันยาวเหยียด
ชื่อเสียงของดร.สุวรรณ ยังไปปรากฏตามข่าวหน้าสังคมทั้งในฐานะกิจกรรมส่วนตัว และต่อมาได้เปิดตัว “ชมรมคนออมเงิน”ครั้งแรกในวันที่ 14 ธ.ค.2547 เพื่อมุ่งหวังส่งเสริมสมาชิกออมเงิน ให้ครอบครัวมีเงินออมที่พอเพียง ผ่านการเผยแพร่ความรู้ในเชิงทรัพย์สินทางปัญญาและ IT กิจกรรมดังกล่าวค่อนข้างได้รับการขานรับเป็นอย่างดี จากสังคม เนื่องจากประธานชมรมฯ อย่างดร.สุวรรณ สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดีในการนำ “เงินต่อเงิน”จนได้ผลกำไรงอกงาม
ขณะที่เวลาอีกส่วนหนึ่งได้ใช้ไปกับการเขียนหนังสือ คู่มือสร้างความร่ำรวยหลายต่อหลายเล่มไม่ว่าจะเป็น “พ่อรวยสอนลูก”, “พ่อสอนลูกให้รวย” หรือเล่มล่าสุด “สอนเมียให้รวย” ที่ล้วนแล้วแต่เปิดเผยกลยุทธ์การออมอย่างชาญฉลาด และเทคนิคการเสียภาษีให้น้อย....คุณได้อ่านกันบ้างรึยัง ?!
*************
มาตรา 150 เอาผิดชินคอร์ป
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 มีที่มาจาก มาตรา 113
มาตรา 113 “การใดมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฏหมายก็ดี เป็นการพ้นวิสัยดี เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี การนั้นท่านว่าเป็นโมฆกรรม”
(25) การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 113 นั้นเป็นการกระทำนิติกรรมโดยมีวัตถุประสงค์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำว่า “การใดดังที่บัญญัติไว้ ก็คือการกระทำโดยมุ่งจะให้เกิดผลในกฏหมายเป็นนิติกรรมแต่เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย กฎหมายจึงไม่รับรองให้เกิดผล โดยถือว่าเป็นโมฆะกรรมหรือการกระทำที่เสียเปล่าใช้การอะไรไม่ได้เลย การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 113 แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. การกระทำนิติกรรมโดยมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
2. การกระทำนิติกรรมโดยมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการพ้นวิสัย
3. การกระทำนิติกรรมโดยมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ผลของการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายดังกล่าว นิติกรรมต้องตกเป็นโมฆะเสียเปล่าใช้ไม่ได้ หรือเรียกว่าเป็นโมฆกรรม อันความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมนั้น
|