หุ้น SOLAR คึก บวก 25 สตางค์ หลังข่าว ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่งวอร์แรนต์ 150 ล้านหน่วย เพื่อเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม ผู้บริหารเชื่อเข้าซื้อขายได้ไตรมาสแรกนี้แน่ เผยนำเงินหนุนโครงการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ใช้เอง เพื่อลดต้นทุนการผลิตแทนการนำเข้าได้ถึง 20-25% คาดเดินเครื่องผลิตได้ต้นปี 50 พร้อมเดินหน้ายกระดับป็นผู้ทำธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจร

วานนี้ (8 ก.พ.) ราคาหุ้น SOLAR ของบริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) มีแรงซื้อเข้ามาตั้งแต่เปิดตลาดที่ราคา 7.45 บาท ก่อนปรับไปที่ 7.50 บาท จนช่วงบ่ายที่ราคาหุ้นสวิงเล็กน้อย แต่ก็ขึ้นไปยืนสูงสุดที่ราคา 7.70 บาท และพบว่ามีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในช่วงบ่าย จนปิดตลาดที่ราคา7.70 บาท เพิ่มขึ้น 25 สตางค์ คิดเป็นเพิ่มขึ้น 3.36% มูลค่าซื้อขาย 5.73 ล้านบาท

ทั้งนี้ เป็นผลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบรายการแสดงข้อมูล( Filing) ประเภทใบสำคัญแสดงสิทธิในการเสนอขายหลักทรัพย์แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (วอร์แรนต์) เมื่อ 27 มกราคม49 ที่ผ่านมา ซึ่งวอร์แรนต์ที่ออกมานั้นจะเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นสามัญของของบริษัท

โดย SOLAR จะออกวอร์แรนต์ 150 ล้านหน่วย พร้อมออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อรองรับการแปลงสภาพของวอร์แรนต์ดังกล่าวอีก 150 ล้านหุ้น ซึ่งใบสำคัญแสดงสิทธิมีอายุจำนวน 2 ปี นับจากวันที่ออก อัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วยวอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ กำหนดราคาใช้สิทธิ 2 บาท

นางสาววันดี กุญชรยาคง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SOLAR เปิดเผยว่าหาก ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว โอกาสที่วอร์แรนต์ซึ่งจะขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมนั้น จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ไตรมาสแรกปีนี้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการการพิจารณาของ ก.ล.ต.ว่าจะอนุญาตกำหนดวันไหน

การออกวอร์แรนต์ดังกล่าว SOLAR ต้องการนำเงินเพื่อไปใช้ในการสร้างโรงงานผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ โดยเงินลงทุนโครงการนี้ประมาณ 1,110 ล้านบาท บริษัทจะใช้เงินที่ได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุนเมื่อตอนเขาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณ 480 ล้านบาท และเงินจากการขายวอร์แรนต์ 300 ล้านบาท ส่วนอีก 500 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะเป็นเงินกู้จากสถาบันการเงิน 500 ล้านบาท

"เราต้องหาเงินเพื่อใช้ในการลงทุนในอนาคต เพราะเราต้องการลดต้นทุนการดำเนินงานของเรา หากเราผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ได้เอง เราจะลดต้นทุนได้ประมาณ 20-25% และเราก็ไม่ต้องนำเข้าแล้ว " นางวันดี

สำหรับโรงงานแห่งใหม่นี้เป็นการผลิตที่เข้าหาต้นน้ำมากขึ้น จึงช่วยลดต้นทุนให้บริษัท ที่สำคัญจะทำให้บริษัทกลายเป็นโรงงานผลิตแผ่นเซลล์แสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโรงงานแห่งนี้จะสร้างในที่ดินของโรงงานที่ปากช่อง ขณะนี้ได้ลงเสาเข็มและคาดว่าโรงงานใหม่จะเสร็จประมาณปลายปี2549 และจะผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ได้ในปี 2550

นางสาววันดีกล่าวถึงการรุกธุรกิจระบบเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารเชื่อมต่อระบบจำหน่ายในตัวเมืองมากขึ้น เป็นการทำธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ให้ครบวงจรมากขึ้น อันจะทำให้รายได้เข้ามายังบริษัทเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งความชัดเจนจากภาครัฐที่จะมีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้น่าจะเห็นผลชัดเจนกลางปีนี้ และหากรัฐมีการอนุมัตินโบายดังกล่าวบริษัทก็สามารถดำเนินการรุกธุรกิจระบบเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารเชื่อมต่อระบบจำหน่ายได้ทันที ซึ่งเป็น นโยบาย RPS หรือ การ กำหนดมาตรฐานให้โรงงานไฟฟ้าที่สร้างใหม่มีการใช้พลังงานทดแทนอย่าง อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ กังหันลม จำนวน 5 % จากพลังงานทั้งหมด รวมทั้งการสนับสนุนระบบเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารเชื่อมต่อระบบ จำหน่าย คือการที่ประชาชนติดแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าและขายต่อไปยังรัฐบาล ซึ่งเบื้องต้นราคาขายต่อหน่วยคาดว่าจะอยู่ที่ 16 บาท

ขณะที่แผนงานของ SOLAR จะเดินหน้าเป็นผู้ทำธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ให้ครบวงจร และจะเข้าสู่โครงการโซลาร์โฮมเฟส 2 ให้สำเร็จ ตลอดจนขยายตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จึงมั่นใจว่าปีนี้ บริษัทจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% เนื่องจากโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ในมือดังกล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี48 พบว่า SOLAR มีกำไรสุทธิ 133.82 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปี 47 มีกำไรสุทธิ 46.66 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 186.80 % เนื่องมาจากบริษัทฯ ได้ทำการรับรู้รายได้จากการติดตั้งระบบและการขายแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในโครงการSolar Home System ซึ่งมีการรับรู้รายได้ของโครงการนี้ในปี 2548 ใน 3 ไตรมาสของปีดังกล่าว ขณะที่บริษัทมีทรัพย์สินรวม จำนวน 1,246 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 301 ล้านบาทและส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 945 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทยังคงอยู่ที่ระดับต่ำที่ 0.32 ต่อ 1โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 444 ล้านบาท

ปัจจุบัน SOLAR มี มีทุนจดทะเบียนจำนวน 450 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 450 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนที่ชำระแล้วจำนวน 300 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท