|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.เคจีไอ ปรับคำแนะนำการลงทุนหุ้น "เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป" จาก "ซื้อ" เหลือเพียงซื้อลงทุนระยะยาว อ้างราคาบนกระดานใกล้จะชนเพดานราคาเป้าหมายที่ 16.30 บาทแล้ว ขณะที่พี/อี เรโช 20 เท่า สูงกว่าอุตสาหกรรมเดียวกัน พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4 รวม 163 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อน 285% ส่งผลให้กำไรรวมทั้งปีเฉียด 600 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ จำกัด ประเมินฐานะการดำเนินงานบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ว่า ไตรมาส 4 ปี 2548 คาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทไว้ที่ 163 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน 285% แต่ลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2548 เล็กน้อย 8% โดยคาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17% และใกล้เคียงกับไตรมาส 3 ที่ผ่านมา
"ผลงานไตรมาส 3 และ 4 น่าจะใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เพราะสามารถดูได้จากรายได้จากภาพยนตร์เป็นหลัก ซึ่งไตรมาส 4 ไม่ค่อยมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เข้ามาฉายมากนัก มีเพียงเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ และคิงคองเท่านั้น ที่สามารถทำได้ได้สูงถึง 190 ล้านบาท และ 120 ล้านบาท ตามลำดับ"
สำหรับผลการดำเนินงานรวมทั้งปี 2548 คาดว่า MAJOR จะมีกำไรสุทธิที่ประมาณ 588 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่ปีก่อนขาดทุนสุทธิถึง 480 ล้านบาท รายได้รวมอยู่ที่ 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 58% ที่มีรายได้เพียง 2.8 พันล้านบาท โดยสาเหตุหลักคือ ผลจากการควบรวมกับบริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2547 และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
"การควบรวมกับ EGV ส่งผลดีให้เห็นได้ชัดเจนในปีที่แล้ว โดยอัตราการทำกำไรต่างๆ ดูดีขึ้น และการเติบโตเกิน 10% ของรายได้จากทั้งโรงภาพยนตร์และโบว์ลิ่ง โดยแนวโน้มนี้ตรงกับที่เราคาดการณ์ไว้"
อย่างไรก็ตาม บล.เคจีไอ ระบุว่า ยังคงการประมาณการณ์ของเราสำหรับ MAJOR ไว้ และยังคงราคาเป้าหมายโดยวิธีคิดลดกระแสเงินสดที่ 16.3 บาท แต่ได้ปรับคำแนะนำลงมาจาก "ซื้อ" เป็น "ซื้อลงทุนระยะยาว" เพราะราคาหุ้น MAJOR ขึ้นมามากจนมี Upside จากราคาเป้าหมายของเราเพียงแค่ 8% เท่านั้น ขณะที่ระดับ PE ปี 2549 ที่ 20 เท่าก็ยังเป็นการส่งสัญญาณว่า Upside ของ MAJOR อาจจะมีจำกัดแล้ว เพราะถือว่าซื้อขายที่ระดับสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ PE ปี 2549 อยู่ที่เพียง 18.2 เท่าเท่านั้น
ด้านผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 สิ้นสุด ณ 30 กันยายน 2548 นั้น MAJOR กำไรสุทธิ 157.22 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.22 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 759.45 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 1.28 บาท ขณะที่งวด 9 เดือนกำไรสุทธิ 405.06 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.57 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 545.95 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 0.93 บาท หรือกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 120.70%
ทั้งนี้ MAJOR แจ้งสาเหตุที่ผลการดำเนินงานของงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกิดจาก 5 ปัจจัยหลัก คือ
1.การจัดทำงบการเงินรวมในไตรมาส 3 ปี 2548 ระว่างเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ และ บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ขณะที่ปีก่อนยังไม่มีการจัดทำงบการเงินรวมของทั้ง 2 บริษัท
2. การควบรวมกิจการกับบริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ทำให้มีจำนวนโรงภาพยนตร์ให้บริการเพิ่มขึ้น
3. รายได้โฆษณาในโรงภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีสาขาครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น
4. งบการเงินในไตรมาส 3 ปี 2547 ได้มีการตัดจำหน่ายค่าความนิยมเนื่องจากมีการควบรวมกิจการกับอีจีวี ทำให้มีผลขาดทุนสุทธิ 747.27 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรในไตรมาส 3 ปี 2548 จึงเป็นผลทำให้เกิดการเติบโตมากขึ้น และปัจจัยสุดท้าย ไตรมาส 3 ปี 2548 มีภาพยนตร์ไทยฟอร์มใหญ่ที่สามารถทำเงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์เข้าฉาย เช่น เรื่องต้มยำกุ้ง รายได้รวม 200 ล้านบาท และแหยมยโสธร 100 ล้านบาท
|
|
|
|
|