Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน9 กุมภาพันธ์ 2549
โพลล์สมาคมนักวิเคราะห์ชี้การเมืองฉุดตลาดหุ้นมองดัชนี809จุด             
 


   
search resources

สมบัติ นราวุฒิชัย
Stock Exchange




โพลล์สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ระบุปัจจัยการเมืองกระทบตลาดหุ้นมาก ชี้ประเด็นการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์นายกรัฐมนตรีและเสถียรภาพรัฐบาล แนะรัฐตอบข้อสงสัยให้ชัดเจน พร้อมเสนอให้มีการทำประชาพิจารณ์ "แปรรูปรัฐวิสาหกิจ-เอฟทีเอ"เผยจุดเสี่ยงสำคัญปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นและความขัดแย้งในพรรครัฐบาล คาดดัชนีสิ้นปี 809 จุด ลดลงจากเดิมที่ให้สูงสุดถึง 900 จุด โดยอัตรากำไรต่อหุ้นลดหวบจาก 6.8% เหลือ 4.8% ขณะที่จีดีพีอยู่ที่ 4.9% ชี้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ"รับเหมาฯ-วัสดุก่อสร้าง-อสังหาฯ-สื่อสาร"

นายสมบัติ นราวุฒิชัย อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยถึงแบบสอบถามนักวิเคราะห์ในหัวข้อ"มุมมองความเสี่ยงการเมืองต่อตลาดหุ้นไทย"โดยสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 20 แห่ง พบว่านักวิเคราะห์ได้ประเมินผลกระทบต่อตลาดทุนไทย โดยให้น้ำหนักของผลกระทบในเรื่องดังกล่าวเฉลี่ย 3.75 จากน้ำหนักสูงสุดที่ 5

ทั้งนี้ ประเด็นทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นมากที่สุด คือการทุจริตเกี่ยวกับการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN ซึ่งในเรื่องดังกล่าวกระทบต่อภาพลักษณ์ของของผู้นำประเทศ รวมถึงกระแสต่อต้านรัฐบาลซึ่งอาจจะลุกลามมากขึ้น ตามมาด้วยประเด็นเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาล

ในส่วนเรื่องจุดเสี่ยงที่จะส่งผลเชิงลบต่อรัฐบาลมากที่สุด คือข้อสงสัยการทุจริตคอร์รัปชั่นในการดำเนินงานต่างๆ รวมถึงการใช้จ่ายในโครงการเมกะโปรเจกต์ และ ความขัดแย้งของกลุ่มต่างๆ ในพรรครัฐบาล และการขยายตัวของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซึ่งอาจรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น เพื่อกดดันรัฐบาล ซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นในการลงทุน

สำหรับภาคธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากสถานการณ์ทางการเมืองคือธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากอาจมีความล่าช้าจากโครงการภาครัฐและมีความไม่แน่นอน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและรัฐบาล จากความไม่แน่นอนในอนาคต และ สื่อสารโทรคมนาคม

ขณะที่ภาคธุรกิจที่อาจจะได้รับผลบวกจากสถานการณ์ดังกล่าว คือธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต กระดาษ เนื่องจากมีการติดตามข่าวสาร และมีการประชาสัมพันธ์ของทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นรวมถึงชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ เนื่องจากอิงกับต่างประเทศและค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัว และธุรกิจส่งออก ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศมากนัก

**แนะรัฐบาลชี้แจงต้องชัดเจน

นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ปัจจัยบวกที่จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับภาครัฐบาลได้ คือการบริหารและจัดการทางเศรษฐกิจโดยรวม และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเร่งตัวขึ้น มีการส่งออกมากขึ้นรายได้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น จะทำให้คนสนใจการเมืองน้อยลง

ทั้งนี้การที่รัฐบาลและฝ่ายที่ขัดแย้งสามารถประนีประนอมและหันหน้าเข้าหากัน รวมทั้งร่วมกันหาทางออกที่เป็นกลางมากที่สุด ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลดีต่อรัฐบาลและยังรวมถึงการที่นายกรัฐมนตรีสามารถชี้แจงและตอบข้อสงสัยของฝ่ายต่อต้านได้อย่างชัดเจนและโปร่งใส รวมทั้งสามารถแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติงานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก

สำหรับข้อเสนอแนะในเรื่องดังกล่าวนักวิเคราะห์ได้แนะให้รัฐบาลมีการเปิดเผยและความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายใหม่ ๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการออกความเห็นมากขึ้น โดยเฉพาะฝ่ายที่เห็นตรงข้าม อาจมีการทำประชาพิจารณ์ในเรื่องต่าง ๆ เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การใช้จ่ายภาครัฐ FTA เป็นต้น

นอกจากนี้ข้อเสนอรัฐบาลควรมีการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังเพื่อฟื้นฟูศรัทธาประชาชน รวมทั้งนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลควรเน้นเนื้อหาและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และความยากจนเป็นหลัก

ควรหลีกเลี่ยงนโยบายประชานิยมหรือนโยบายที่เอื้อประโยชน์กับบางกลุ่ม และควรมีการชี้แจงข้อเท็จจริงของปัญหาหรือความไม่ชัดเจนให้ตรงประเด็นมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ เช่น กรณีขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น หรือการออกกฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจโทรคมนาคม เป็นต้น

**ดัชนีตลาดหุ้นไทย808จุด

นายสมบัติ กล่าวอีกว่า แบบสอบถามในเรื่องแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2549 นักวิเคราะห์ตอบว่าแนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน โดยมีบริษัทหลักทรัพย์รวมตอบแบบสอบถามรวม 22 แห่ง

ซึ่งปัจจัยบวกที่สำคัญที่สุดของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ คือเรื่องการไหลเข้ามาของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจและโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ

ทั้งนี้ ปัจจัยลบที่สำคัญนอกเหนือจากสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรง ยังรวมถึงปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง และปัจจัยอื่นที่มีนักวิเคราะห์ เช่น อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น

สำหรับการประเมินการขยายตัวของเศรษฐกิจผ่านตัวเลขสำคัญสำหรับปี 2549 ได้มีการปรับประมาณการใหม่จากมุมมองที่สำรวจในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth เฉลี่ยที่ 4.9% หรือสูงกว่าการสำรวจในเดือนตุลาคม ซึ่งอยู่ที่ 4.7% โดยมีผู้ประมาณการสูงสุดที่ 5.3% และต่ำสุด 4%

ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth ลดลงเมื่อเทียบกับการสำรวจในเดือนตุลาคม 2548 โดยมีอัตราเฉลี่ยที่ 4.8% จากเดิม 6.8% และดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุลเฉลี่ย 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขาดดุลมากขึ้นกว่าที่คาดไว้เดิม 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในส่วนของค่า เงินบาทคาดว่าจะแข็งขึ้นจากที่คาดไว้เดิม โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยอยู่ที่ 39.7 บาทมีผู้ประมาณค่าเงินบาทอ่อนสุดที่ 41.5 บาท และค่าเงินแข็งที่สุดที่ 38 บาท

มุมมองของนักวิเคราะห์ต่ออัตราดอกเบี้ย RP 14 วัน มีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อย โดยเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 4.8% ซึ่งสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยจากเดิมที่คาดไว้ 4.7% และมีอัตราสูงสุดคือ 5.75% ต่ำสุด 4%

ด้านดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index เฉลี่ยที่ 808 จุด ซึ่งลดลงจากการสำรวจที่ผ่านมาคิดเป็น 1% โดยประมาณการสูงสุดและต่ำสุดยังคงเท่าเดิมที่ 900 จุด และ 759 จุดตามลำดับ

**แนะหุ้นพลังงาน-แบงก์

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ยังถือว่าน่าสนใจที่จะลงทุนในปีนี้ 3 อันดับแรก คือธนาคาร พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ โดยลงทุนในหุ้น BBL, PTT และ KBANK, PTTEP กับ SCB ส่วนกลุ่มที่ควรลดการลงทุน คือ กลุ่มปิโตรเคมี ขนส่งทางเรือ และเหล็ก เช่น TTA, SSI, ATC

ทั้งนี้ ความเห็นที่ตรงกันในเรื่องการลงทุนระบุว่านักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนด้วยความระมัดระวัง เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีอัตราเงินปันผลสูง และนักวิเคราะห์อีก 11% แนะนำให้ลงทุนในจังหวะอ่อนตัว โดยเน้นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มพลังงาน

**ตลาดหุ้นรูด8.74จุด

ภาวะการซื้อขายหุ้นวานนี้(8 ก.พ.)ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในกรอบแคบๆ ตลอดทั้งวัน โดยดัชนีปิดที่ระดับ 734.63 จุดลดลง 8.74 จุดหรือ 1.18% มูลค่าการซื้อขาย 17,325.41 ล้านบาท

การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่านักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 234.10 ล้านบาท,นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 654.75 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 888.85 ล้านบาท

นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทีเอสอีซี จำกัด กล่าวถึงภาวะดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ว่า ดัชนียังซึมๆอยู่ มีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่นในหุ้นของบริษัทโซลาร์ตรอน หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับหนึ่งแบบรายการแสดงข้อมูล( Filing) ประเภทใบสำคัญแสดงสิทธิในการเสนอขายหลักทรัพย์แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (วอร์แรนต์) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2549 ที่ผ่านมา โดยในส่วนของผู้บริหารคาดว่าวอร์แรนต์น่าจะสามารถเข้าซื้อขายได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้ แต่คาดว่ายังไม่ช่วยให้ตลาดฟื้นตัวขึ้นมาได้ หุ้นที่เคลื่อนไหวและปรับตัวขึ้นได้ คือหุ้นกลุ่มเล็ก ส่วนหุ้นกลุ่มมาร์เก็ตแคปใหญ่ปรับตัวลดลงจากปัญหาการเมืองที่ยังไม่สิ้นสุดและกระแสการต่อต้านรัฐบาลที่อาจลุกลามมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะยืดเยื้อต่อไป ส่งผลให้ตลาดฯวันนี้ปรับตัวลดลง

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์พรุ่งนี้คาดว่าดัชนีฯยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยประเมินแนวรับที่ 732 จุด และแนวต้านที่ 744 จุด

***บล.บัวหลวงมองดัชนี 790 จุด

นายสุเมฆ จันทราสุริยารัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานค้าหลักทรัพย์สถาบันและงานวิจัย บล.บัวหลวง หรือ BLS เปิดเผยถึงมุมมองเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยในปี 2549 โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าน่าจะได้เห็น 790 จุด ซึ่งจะมีค่าพี/อี เรโชประมาณ 9-10 เท่า เนื่องจากสถานการณ์ในปีนี้มีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะปัจจัยกดดันต่าง ๆ เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น เช่นราคาน้ำมันที่ผันผวนเริ่มนิ่ง ขณะเดียวกันประเด็นที่คาดว่าการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วจากนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น

กลุ่มหลักทรัพย์ที่เห็นว่าโดดเด่นสำหรับนักลงทุนคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มบันเทิง สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์คาดว่าผลประกอบการยังคงดีอย่างต่อเนื่องตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่วนกลุ่มอสังหาฯ แม้จะมีประเด็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ที่ระดับเงินกู้ 4-5% ไม่ถือว่าน่าเป็นห่วง ประกอบกับความต้องการซื้อบ้านภายในประเทศยังมีอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มนี้ที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัว ดังนั้นน่าจะถึงเวลาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว และสำหรับกลุ่มบันเทิง 2-3 ปีที่ผ่านมาราคาค่อนข้างต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่เริ่มมีสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปี 2548 ความเชื่อมั่นของผู้บริหารกลับมา ดังนั้นจะทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ธุรกิจนี้จึงจะกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us