Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2540
"โศกนาฏกรรมวันที่ 2 กรกฎาคม ปูนใหญ่กำไรฮวบเฉียดหมื่นล้าน"             
โดย จารุสุดา เรืองสุวรรณ
 


   
www resources

โฮมเพจ เครือซิเมนต์ไทย

   
search resources

เครือซิเมนต์ไทย
ชุมพล ณ ลำเลียง
Economics




เงินบาทลอยตัวพ่นพิษฉุดกำไรปูนใหญ่ลดเกือบหมื่นล้านบาทพร้อมบันทึกบัญชีในไตรมาส 2 ทั้งก้อน คาดปีนี้อาจจะถึงขั้นขาดทุน แต่ก็เป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีเท่านั้นเพราะหนี้ยังไม่ถึงกำหนดส่วนจริง ขณะที่กระแสเงินสดยังไหลคล่องเหมือนเดิมสุดท้ายผู้บริโภคต้องรับกรรมตามต้นทุนที่สูงขึ้นอีกราว 10%

ทันทีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจาก fixed rate ที่อิงกับตะกร้าเงินมาเป็น float rate ในลักษณะ managed float rate เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่มีหนี้สินเป็นเงินตราสกุลต่างประเทศเพราะเมื่อค่าเงินบาทมีค่าลดลงการชำระหนี้คืน ย่อมจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินเป็นจำนวนมากขึ้นจากเดิมที่เคยเป็น ยังผลให้เกิดการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะบริษัทที่ครบกำหนดการชำระหนี้คืนตรงกับวันนั้นพอดีเพราะต้องควักเนื้อจ่ายหนี้เพิ่มขึ้นอีกถึง 3 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวซึ่งบางรายอาจจะถึงขั้นกระอักเลือดเลยทีเดียว

ขณะที่บริษัทที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระเงินคืนก็ต้องประสบกับภาวะการขาดทุนในทางบัญชีในลักษณะเป็น unrealized loss ทันทีเช่นกัน เพราะถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง เพียงแต่ยังไม่มีการจ่ายเงินออกไปเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมายังผลประกอบการของบริษัท และสะท้อนกลับไปยังราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกรณีที่เป็นบริษัทจดทะเบียนอีกทอดหนึ่งในที่สุด

เครือซีเมนต์ไทย หรือที่รู้จักกันดีในนาม 'ปูนใหญ่' (SCC) เป็นรายหนึ่งที่มีการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้จ่ายเพื่อการลงทุน และขยายธุรกิจเป็นจำนวนเงินมหาศาล โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับเงินกู้ภายในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการกู้ในรูปเงินสกุลดอลล่าร์ เพราะค่าเงินมีเสถียรภาพมากกว่าเงินเยนเมื่อเทียบกับเงินบาทแม้ว่าเงินเยนจะมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าแต่มีความเสี่ยงสูงมากกว่าและที่ผ่านมา เครือซิเมนต์ไทยก็ใช้วิธีการบริหารเงินด้วยระบบตะกร้าเงินที่อิงอยู่กับตะกร้าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยเงินดอลล่าร์สัดส่วนประมาณ 75%-80% ที่เหลือเป็นเงินเยน และดอยช์มาร์ก โดยแหล่งเงินกู้ใหญ่ของเครือจะมาจากธนาคารญี่ปุ่น และมีต้นทุนในการกู้ยืมเฉลี่ยที่ Libor+0.6%-0.7%

"ขณะนี้เรายังไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายการกู้เงินจากต่างประเทศ เพราะต้องดูอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันความต่างของอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 7-8% ซึ่งเราต้องพิจารณาว่าคุ้มหรือไม่ที่จะกู้ในประเทศในเวลาเดียวกัน แหล่งเงินกู้ภายในประเทศยังมีจำกัดมากสำหรับธุรกิจที่มีขนาดใหญ่อย่างเครือซิเมนต์ไทย เพราะการกู้แต่ละครั้งเป็นจำนวนเงินมากซึ่งธนาคารพาณิชย์ในไทยไม่มีกำลังเพียงพอที่จะปล่อยกู้ให้เราได้" ชุมพล ณ ลำเลียง กรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือซิเมนต์ไทย ยืนยันจุดยืนแม้ว่าการควบคุมความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจะยากลำบากมากขึ้นก็ตาม

ณ วันที่ 2 กรกฎาคม เครือซิเมนต์ไทยมีหนี้สินต่างประเทศทั้งสิ้นประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 116,000 ล้านบาทตามมูลค่าปัจจุบัน (ประมาณ 29 บาท = 1 ดอลล่าร์ ) คิดเป็นหนี้ระยะสั้นราว 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และหนี้ระยะยาวประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทจะครบกำหนดชำระหนี้คืนประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ( 8,700 ล้านบาท)

"เนื่องจากเครือซิเมนต์ไทยเป็นบริษัทผู้ผลิต เงินตราต่างประเทศทั้งหมดที่เรากู้มานี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้สินจากการซื้อเครื่องจักรในการขยายงานของบริษัทในเครือ เราจะกู้ในส่วนที่เป็นเครื่องจักรจากต่างประเทศ ประมาณ 60%-70% ในเวลาเดียวกันก็หมายความว่าบริษัทมีทรัพย์สินที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้เหตุการณ์ก็คงไม่ร้ายแรง เพราะหนี้สินมีจำนวนมากจริงแต่ทรัพย์สินก็มีจำนวนมากขึ้นเช่นกันในแง่ของมูลค่า" ชุมพล กล่าวถึงผลได้ผลเสียของการกู้หนี้ต่างประเทศ และการที่ค่าเงินลอยตัวแม้หนี้สินของเครือจะเพิ่มขึ้นแต่จะไม่กระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทเพราะรายได้จากการขายยังคงเข้ามาเหมือนเดิม ทำให้ต้นทุนทางการเงินของเครือไม่สูงขึ้นเพราะที่ผ่านมาเครือซิเมนต์ไทยได้ใช้ cash flow ในการกู้เงินจากต่างประเทศ ปัจจุบันหากพิจารณาถึงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt To Equity Ratio) ของเครือซิเมนต์ไทยจะอยู่ที่ระดับ 3:1

แม้ว่าทางกระทรวงการคลังจะได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการยอมผ่อนผันให้บริษัทที่ต้องประสบกับการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 2 กรกฎาคม สามารถทยอยตัดจ่ายการขาดทุนออกไปได้ 3-5 ปี แต่เนื่องจากที่ผ่านมาเครือซิเมนต์ไทยยึดมั่นหลักการการบันทึกบัญชีแบบอนุรักษ์นิยมมาโดยตลอด คือเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นก็จะบันทึกในงวดที่เสียหายนั้นทันที

ดังนั้น ในงบการเงินประจำงวดไตรมาสที่ 2 ทางเครือซิเมนต์ไทยจึงได้ทำการลงบันทักบัญชีรับรู้ผลการขาดทุนที่เกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มทั้งจำนวน ไม่มีการทยอยตัดจ่ายแต่อย่างใด ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนที่คาดว่าจะนำมาบันทึกจะอยู่ที่ระดับ 29 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ ซึ่งจากการประมาณการผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่จะมีต่อกำไรสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยนในระดับที่ 29 บาทนี้ เครือซิเมนต์ไทยจะประสบภาวะการขาดทุนเป็นเงินประมาณ 7,500 ล้านบาท และความเคลื่อนไหวขึ้นลงของค่าเงินบาทต่อดอลล่าร์ ทุก ๆ 1 บาทจะมีผลกระทบต่อกำไรของเครือประมาณ 2,400 ล้านบาท ซึ่งก็หมายความว่าหากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 27 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์ เครือซิเมนต์ไทยจะขาดทุน 2,700 ล้านบาทที่ระดับ 28 บาทจะขาดทุน 5,100 ล้านบาท และหากอยู่ที่ระดับ 30 บาท จะขาดทุน 9,900 ล้านบาท ซึ่ง ณ ขณะนี้ค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ ประมาณ 29-30 บาท

"เรากำลังเก็บข้อมูลอยู่ว่าจะใช้ rate ไหนถึงจะเหมาะสม ตั้งแต่ลดค่าเงินบาทมานั้น rate มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ขณะนี้คิดว่าน่าจะมีแนวโน้มที่จะใช้ rate ของแบงก์ชาติเป็นหลักก่อนเพราะเราจะเป็นแค่ provision for loss หรือเป็น unrealised loss เพราะยังไม่มีหนี้ส่วนที่ส่งจริง" อวิรุทธ์ วงศ์พุทธพิทักษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การเงินและบริหารกลาง เครือซิเมนต์ไทย กล่าวโดยยังไม่แน่ใจว่าจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับใดในการบันทึกขาดทุน ขณะเดียวกันก็ได้ไขข้อข้องใจว่าทำไมเครือซิเมนต์ไทยจึงไม่มีการทำป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) หนี้เงินกู้ ขณะที่ธุรกรรมต่างประเทศของทางเครือฯ จะใช้วิธีการบริหารด้วยการจัดให้รายรับและรายจ่ายที่เป็นเงินตราต่างประเทศอยู่ในช่วงเวลา ที่สอดคล้องกัน (Matching) เนื่องจากทางเครือฯ มีการส่งออกสินค้าคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของยอดขายรวมของเครือทั้งหมด หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

"เดิมเราพยายามอิงตะกร้าเงินของธปท. เพื่อให้ผลกระทบน้อย แต่ต่อไปตะกร้าอาจจะไม่มีความหมายนัก แต่จริง ๆ อาจจะยังคงต้องมีอยู่เพราะ transaction ของเครือซิเมนต์ไทยจะยังเป็นเงินสกุลดอลล่าร์ เยน ดอยซ์มาร์ก แต่จะไม่มี reference จากตะกร้าแล้ว เราต้องคิดของเราเองว่าจริง ๆ เราควรจะมี transaction อย่างไร ขณะนี้ยังไม่มีแนวความคิดใหม่ ส่วนแนวคิดเรื่อง Hedging ซึ่งค่อนข้าง vary ตามอัตราแลกเปลี่ยนที่มีการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ ซึ่งหากเทียบต้นทุนจากการทำ Hedging ก็คงไม่แตกต่างกับต้นทุนการกู้ในประเทศนัก และการที่ต้องไปกู้นอกก็เพราะอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันนั่นเอง ฉะนั้นถ้าเราซื้อ Hedge ก็หมายความว่าเรายอมรับรู้ว่าต้นทุนทางการเงินของเรานั้นเท่ากับกู้ในประเทศตั้งแต่วันแรก ดังนั้นการทำ Hedge หรือไม่ก็มีค่าเท่ากัน เพราะต้องมีการจ่ายเงินล่วงหน้าคือเป็น realized cost เลย ขณะเดียวกันการทำ Hedge ส่วนหนึ่งก็ถือเป็นการ speculative เพราะต้องมีการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า คือถ้าเราเอาเงิน 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐไป Hedge ก็กลายเป็นเงิน speculation และ volume มันก็แพงด้วย"

สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ท่ามกลางการแข่งขันที่ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ จะทำให้เกิดการดำเนินธุรกิจของเครือซิเมนต์ไทยยากขึ้นกว่าเดิมเป็นลำดับนับแต่นี้ต่อไป และในสถานการณ์ที่ได้รับความบอบช้ำจากพิษภัยของเศรษฐกิจ slowdown แถมยังถูกซ้ำเติมด้วยการปรับเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยนชนิดตั้งรับกันแทบไม่ทัน แม้ว่าในอดีตเมื่อปี 2527 เครือปูนซิเมนต์ไทยจะเคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนแล้วก็ตามแต่ก็เป็นเรื่องที่ต่างกรรมและวาระกันยากนำมาเปรียบเทียบกันได้ "ตอนนี้เงินหายากไม่ว่าจะค่าเงินลอยตัวหรือไม่เราต้องระมัดระวังในเรื่องของ inventory เมื่อเงินแพง หายาก การทำธุรกิจก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น ซื้อของต้องซื้อให้ถูก และเก็บให้น้อย ในเครือเรามีการเปลี่ยนแปลงไปมากสมัยปี 2527 ส่วนใหญ่เรา serve ในประเทศเป็นหลักตอนนี้เรามีธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลกระทบตอนนั้นเราก็ลงบัญชีทีเดียวเหมือนกัน และสินค้าส่งออกเป็น non-manufacturing ค่อนข้างเยอะ ผมว่ามันเกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ของทั้งประเทศ ตอนนั้นเราไม่กระทบเท่าไหร่เพราะเราเป็น domestic แต่ขณะนี้ในแง่ cash เราไม่ได้กระทบแต่จะกระทบในรูปบัญชี ส่วนในเรื่องการปรับตัว คงต้องดูต่อไปว่าถ้าสินค้าตัวไหนต้นทุนขึ้นเราก็ปรับเพื่อให้ cover ต้นทุน สินค้าไหนที่เป็นไปตามตลาดโลกเราก็ปรับราคาตามตลาดโลกจะ cover ต้นทุนหรือไม่เราไม่รู้เหมือนกัน และเราก็จะมีการปรับตัวตามกำลังการผลิตของเราด้วย คือถ้าเศรษฐกิจ slowdown เราก็มีกำลังการผลิตที่ส่งออกเพิ่มขึ้น เราก็จะ push อันนั้นเพิ่มขึ้นซึ่งก็จะทำให้ทั้งจำนวนเพิ่มขึ้นและยอดขายรวมก็เพิ่มขึ้น เรารู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศคงจะ slowdown ซึ่งในที่สุดก็จะทำให้สัดส่วนของยอดขายจากภายในประเทศและต่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปเพราะในประเทศอาจลดลงขณะที่ส่งออกเพิ่มขึ้น" อวิรุทธ์ มือการเงินคนสำคัญของเครือให้ทัศนะถึงการปรับตัวในช่วงต่อไป ซึ่งปีนี้ทางเครือฯ ได้จัดงบลงทุนไว้เป็นเงิน 30,000 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วจากจำนวน 40,000 ล้านบาท และในปี 2541 คาดว่างบลงทุนจะลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งของปีนี้

ถึงที่สุดแล้ว ผู้ที่จะได้รับผลกระทบแบบเต็ม ๆ จากการปรับเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวครั้งนี้ ก็คือผู้บริโภค เพราะนั่นหมายความว่าบริษัทมีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น การที่บริษัทจะแบกรับภาระทั้งหมดเอาไว้ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน และสุดท้ายก็ต้องผ่องถ่ายต้นทุนนั้นมาสู่ผู้ซื้อด้วยการขึ้นราคาสินค้า ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอีกเฉลี่ยประมาณ 5-10%

ไม่เพียงเราเท่านั้นที่ต้องแบกรับภาระนั้น แต่รัฐบาลเองก็ต้องปวดหัวมากขึ้นเมื่อปูนใหญ่บันทึกขาดทุนเฉียดหมื่นล้านครั้งนี้ย่อมส่งผลต่อกำไรของบริษัทในปี 2540 นี้ในทางบัญชี และแน่นนอนเมื่อกำไรลดฮวบฮาบอาจถึงขั้นต้องขาดทุนภาษีที่รัฐเคยได้รับจากเครือซิเมนต์ไทย ปีละไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทก็ต้องเลือนหายไป งานนี้ไม่รู้ว่าใครต้องคิดหนักกว่าใครเพราะคงไม่เฉพาะยักษ์อย่างปูนใหญ่รายเดียวเท่านั้นที่กระเทือน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us