Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2540
"พฤติกรรมบริโภคยาเกินความจำเป็นมีแนวโน้มสูงขึ้น"             
โดย มานิตา เข็มทอง
 


   
search resources

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, บจก.
Pharmaceuticals




เมื่อเดือนพฤษภาคม 2540 ที่ผ่านมา บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดได้ทำการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคยาแก้หวัดของคนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งพบว่า คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงมีพฤติกรรมบริโภคยาเกินความจำเป็นกันมากขึ้น โดยเทียบกับภาวะตลาดของยาแก้ปวด แก้หวัดที่เติบโตมากขึ้นกว่าในอดีต โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดรวม ของยาแก้ปวดลดไข้มีมากกว่า 1,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ตลาดของยาแก้ปวด 1,100 ล้านบาท และตลาดยาแก้หวัดประมาณ 400 ล้านบาท ถึงแม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีคำสั่งเพิกถอนกาเฟอีนออกจากสูตรยา ซึ่งส่งผลให้ตลาดยาแก้ปวดชนิดซองสูตรแอสไพรินที่เคยมีส่วนผสมของกาเฟอีน เช่น ทัมใจ บวดหาย ยาตราไก่ และยาบูรา เป็นต้น มีการขยายตัวลดลงถึง 40% เมื่อเทียบกับในช่วงก่อนปรับเปลี่ยนสูตรยา และได้มีการขยายตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ย 15% ต่อปี สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากว่า ตลาดของยาแก้ปวดส่วนใหญ่นิยมบริโภคยาผิดวัตถุประสงค์ เมื่อยาไม่สามารถสนองความต้องการได้แล้วก็ไม่พอใจที่จะบริโภคต่อไป

ในขณะที่ยาแก้ปวดสูตรพาราเซตตามอล เช่น ไทลีนอล คาลปอล ซาริดา ดาก้า และพานาดอล เป็นต้น กลับได้รับความนิยมสูงขึ้น โดยมีอัตราการขยายตัวค่อนข้างสูงขึ้นประมาณ 30% ในระยะแรก ๆ และในปัจจุบันมีอัตราการขยายตัวประมาณ 12% ต่อปี

นอกจากนั้น ยาแก้หวัดที่มีส่วนประกอบของตัวยาพาราเซตตามอล ฟินิลโปรปาโนลามีน ไฮโดรคลอไรด์ และคลอร์เฟนิรามิน มาลีเอต ซึ่งในอดีตก็มีส่วนผสมของกาเฟอีน และปัจจุบันก็ได้ถูกเพิกถอนไปจากสูตรยาแล้ว เช่นเดียวกันกับยาแก้ปวด แต่ทว่า ตลาดของยาแก้หวัดไม่ได้ตกต่ำลงดัง เช่นยาแก้ปวดชนิดซอง ในทางกลับกันตลาดของยาแก้หวัดเหล่านี้ กลับมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เนื่องจากทางผู้ผลิตได้มีการปรับเปลี่ยนสูตรยาให้มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการแข่งขันในเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่าง ๆ ทำให้สินค้าเป็นที่คุ้นเคยต่อผู้บริโภค รวมทั้งมีการจัดรายการส่งเสริมการขายด้วยการสมนาคุณให้แก่ร้านขายยาที่สามารถทำยอดขายได้ตรงตามเป้าของทางบริษัทตัวแทนจำหน่าย ส่งผลให้ตลาดของยาแก้หวัดนี้มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องประมาณ 15% ต่อปี โดย "ทิฟฟี่" ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด รองลงมาก็ได้แก่ ดีคอลเจน นูตา และอื่น ๆ

จากการที่ผู้บริโภคสามารถหาซื้อยามารับประทานได้โดยสะดวกจากบรรดาร้านค้า และร้านขายยาที่มีอยู่ทั่วทุกพื้นท ี่ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยร้านขายยาในปัจจุบัน มีจำนวนทั้งสิ้น 12,119 ร้าน แบ่งออกเป็นร้านขายยาแผนปัจจุบัน (ขย. 1) 4,723 ร้าน ร้านขายยาแผนปัจจุบันบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตราย (ขย. 2) 5,147 ร้าน และร้านขายยาแผนโบราณอีก 2,249 ร้าน ซึ่งไม่รวมร้านขายยาที่อยู่ในคอนวีเนียนสโตร์และห้างสรรพสินค้าที่มีอยู่กว่า 1,000 แห่ง และร้านขายของชำละแวกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคอีกประมาณ 400,000 กว่าร้านทั่วประเทศ ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคมีแนวโน้มการบริโภคยาเกินความจำเป็นสูงมากขึ้น โดยเฉพาะยาแก้ปวดลดไข้ต่าง ๆ ที่มีอยู่หลากหลายยี่ห้อประกอบกับมีการโฆษณาสรรพคุณของยาเหล่านี้ อีกทั้งผู้บริโภคก็สามารถซื้อยาเหล่านี้ได้โดยไม่จำเป็นตต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากยาประเภทนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้าน จึงสามารถจำหน่ายได้ทั่วไป

สำหรับผลการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคยาแก้ปวดแก้หวัดของคนกรุงเทพมหานครของทีมงานศูนย์วิจัยกสิกรฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 60 จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 703 คน โดยผู้ตอบแบบสอบถามเป็นนักเรียน นักศึกษามากที่สุด คือ ประมาณร้อยละ 40 และมีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 60 ใช้วิธีการบำบัดอาการป่วยเบื้องต้นด้วยการรับประทานยา โดยแบ่งเป็น การหยิบยาจากตู้ยาที่มีอยู่ จำนวนร้อยละ 34 และไปซื้อยามารับประทานเองร้อยละ 37.6 ที่เหลือใช้วิธีนอนพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ ร้อยละ 27.1 ไปพบแพทย์ ร้อยละ 9.2 และอีกร้อยละ 2.1 เป็นผู้ที่ไม่ชอบรับประทานยาโดยผู้บริโภคส่วนใหญ่เหล่านี้จะนิยมซื้อยาเจาะจงยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง คิดเป็นร้อยละ 43.3 ในขณะที่ผู้ที่ไม่เจาะจงยี่ห้อมีอยู่ร้อยละ 41.4 และที่เหลือร้อยละ 15.3 ตอบว่าไม่แน่ใจ เพราะจำชื่อยาที่รับประทานครั้งสุดท้ายไม่ได้ ร้อยละ 70.8 มีความเห็นว่า ได้รับประสิทธิภาพจากการใช้ยาแก้ปวดแก้หวัดยี่ห้อต่าง ๆ บ้าง ขณะที่มีเพียงร้อยละ 29 เท่านั้นที่ตอบว่าได้ผลเต็มที่ ที่เหลือตอบว่าไม่ได้ผลเลย

นอกจากนั้น ผลการสำรวจยังพบว่า พฤติกรรมการเลือกใช้ยาแก้ปวดแก้หวัดของคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังนิยมใช้ยาชนิดเม็ดบรรจุขวดละ 43.9 โดยแบ่งเป็นยาพาราเซตามอลร้อยละ 98.3 ที่เหลือตอบว่าไม่รู้จักชื่อยา รองลงมาคือ ยาเม็ดบรรจุเสร็จร้อยละ 33.6 ซึ่งได้รับความนิยมตามชื่อการค้าดังนี้ ทิฟฟี่ ร้อยละ 52.8 ดีคอลเจน ร้อยละ 36.4 นูตา ร้อยละ 8.5 ที่เหลือตอบว่าอื่น ๆ ส่วนยาชนิดเม็ดบรรจุแผง ร้อยละ 20.2 แบ่งเป็น ยาพาราเซตามอล ร้อยละ 61.3 ไทลีนอล ร้อยละ 16 แอคทีเฟดร้อยละ 12.3 ดาก้า ร้อยละ 9.4 ที่เหลือจำชื่อไม่ได้ สำหรับยาชนิดผงบรรจุซองมีจำนวนร้อยละ 28.6 ที่เหลือใช้ยาประเภทอื่น ๆ

สำหรับทัศนคติในเรื่องความสับสนของการใช้ชื่อทางการค้าของยาแก้ปวดแก้หวัด คนกรุงส่วนใหญ่ร้อยละ 52.4 ให้ความเห็นว่าเกิดความสับสนระดับปานกลางเท่านั้น ร้อยละ 19.1 ให้ความเห็นว่าเกิดความสับสนมาก ส่วนร้อยละ 17.3 คิดว่าน้อยและที่เหลือคิดว่าไม่สับสนเลย

ส่วนสถานที่ที่คนกรุงนิยมในการเลือกซื้อยาแก้ปวดแก้หวัด ได้แก่ ร้านขายยา ร้อยละ 74.8 ร้านค้าใกล้บ้าน ร้อยละ 19.2 ซูเปอร์มาร์เก็ตร้อยละ 2.5 คอนวีเนียนสโตร์ร้อยละ 1.7 และที่เหลือซื้อจากที่อื่น ๆ

นอกจากนั้น ยังมีการสำรวจความคิดเห็นทางด้านการโฆษณาสรรรพคุณของยาที่มีต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอีกด้วย ซึ่งพบว่า ร้อยละ 38.4 คิดว่าการโฆษณามีผลต่อการตัดสินใจซื้อระดับปานกลางเท่านั้น รองลงมาร้อยละ 26.2 ตอบว่าส่งผลน้อยมาก และอีกร้อยละ 16.1 ตอบว่าไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อเลย

ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถามดังกล่าวยังได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการที่ยาแก้ปวดแก้หวัดที่มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อในปัจจุบันนั้นว่า ทำให้สามารถเลือกซื้อได้สะดวกตามร้านค้าทั่วไป และส่งผลดีให้เกิดการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการ ทำให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ตัวยาที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการได้ดีที่สุด แต่อย่างไรก็ดี ควรแยกประเภทและระบุสรรพคุณของยาแก้ปวดลดไข้ชนิดต่าง ๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งระบุว่ายานั้นไม่เหมาะกับคนที่มีโรคอื่นข้างเคียงหรือมีอาการแพ้ยาก่อน และควรมีการระบุสัดส่วนของยาที่ประกอบให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดโทษต่อร่างกายน้อยที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ควรระบุปริมาณการใช้ยาในแต่ละครั้งให้ชัดเจนที่สุด

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นของตัวแทนผู้บริโภคยาแก้ปวดแก้หวัดในกรุงเทพมหานครส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอาจสะท้อนความเป็นจริงได้เพียงส่วนหนึ่ง และอย่างน้อยก็ทำให้ได้ทราบถึงพฤติกรรรมการบริโภคยาของคนกรุงได้ดีพอสมควร

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us