Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน8 กุมภาพันธ์ 2549
ทุนนอกชะงักรอการเมืองนิ่ง อุ๋ย เชื่อบาทอ่อนช่วยส่งออก             
 


   
search resources

Economics
Investment




ผู้ว่าฯแบงก์ชาติมองบาทอ่อนในแง่ดี ระบุช่วยส่งออก ยันยังไม่มีปัจจัยเงินไหลออก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญยอมรับทุนนอกยังไม่ไหลออก แต่ความไม่ แน่นอนทางการเมืองทำให้นักลงทุนต่างประเทศชะลอการนำเข้า เหตุไม่มีใครอยากเสี่ยง เผยแนวต้านอยู่ที่ 39.90 บาทต่อดอลลาร์ "ประสาร"หวั่นขบวนการกู้ชาติฯอาจถึงขั้น 14 ตุลาฯ เรียกร้องหาทางออกสันติ "บัณฑูร" เชื่อยังไม่กระทบเศรษฐกิจ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินสกุลบาทอ่อนค่าลง โดยอยู่ที่ระดับ 39.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเช้าวันที่ 7 ก.พ.ว่า เป็นไปตามระบบอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินสกุลหลัก เช่น เงินสกุลยูโรของยุโรป และเงินเยนญี่ปุ่น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อธุรกิจภาคการส่งออก เพราะทำให้ไม่เสียเปรียบทางด้านค้าขาย ทั้งนี้ การอ่อนค่าครั้งนี้ ยังไม่มีปัจจัยจากการที่ไหลออกของเงินทุน แต่อย่างใด

โดยค่าเงินบาทระดับ 39.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าอ่อนค่า ลง 0.88% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า แต่หากเทียบกับสิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาจะพบว่าเงินบาทอ่อนค่า ลง 1.32% ทั้งนี้ หากเทียบกับเงินยูโร ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น 0.23% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า แต่อ่อนค่าลง 0.15% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และหากเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่น ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง 0.25% จากวานนี้ และปรับตัวแข็งค่าขึ้น 0.04% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้านี้ ชี้การเมืองทำทุนนอกชะลอ

นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐกิจ อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า การปรับตัวอ่อนลงของค่าเงินบาทวานนี้มาจาก 2 ปัจจัยหลักได้แก่ ปัจจัยในประเทศในเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ที่แล้วอาจจะทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่เคยนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยชะลอการนำเข้าไปก่อน

"เมื่อเขาคิดว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้หรือสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง ก็ไม่อยากจะเสี่ยงนำเงินเข้ามาลงทุน แต่ในส่วนของการนำเงินออกไปนั้น ยังไม่เห็นสัญญาณของเงินที่ไหลออกไป"นางสาวอุสรากล่าว

อีกปัจจัยคือปัจจัยภายนอกที่เกิดจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า เนื่องจากนักลงทุนยังเคลื่อนย้ายเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในระดับที่ต่ำ ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์ที่อยู่ในภาวะที่กลับมาแข็งค่าขึ้นจากความเชื่อมั่นที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย เป็นปัจจัยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก

อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้ยังไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพหรือมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจภารพรวมเนื่องจากเป็นการอ่อนตามค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคและอ่อนในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน โดยแนวต้านต่อไปของค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 39.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและในช่วงนี้ค่าเงินบาทน่าจะแกว่งตัวอยู่ในระดับ 39.00-39.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงว่า น่าจะเป็นผลมาจากทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากกว่า สาเหตุที่จะมาจากปัจจัยในประเทศที่มีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ทิศทางของค่าเงินก็ไม่สามารถมองในระยะวันต่อวันได้เพราะจะมีปัจจัยมากระทบที่ต้องจับตามอง หวั่น "กู้ชาติ 4 กุมภา" อาจถึงขั้น 14 ตุลาฯ

นายประสารยังกล่าวถึงความขัดแย้งภายในประเทศที่เกิดขึ้นในประเทศว่า การเคลื่อนไหวของขบวนการกู้ชาติที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เห็นได้ว่าเสถียรภาพทางการเมืองมีปัญหา ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวก็ไม่ดีต่อการพัฒนาประเทศทั้งนี้ ความขัดแย้งดังกล่าวก็มีโอกาสที่จะไปเหมือนกับเหตุการณ์ในช่วง 14 ต.ค. หากสังคมไม่มีกลไก ทางออกโดยสันติซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาก็คือ การพยายามให้กลไกที่สามารถแก้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้อย่างมีการพัฒนาซึ่งหมายถึงระบบรัฐสภา หรือการแก้รัฐธรรมนูญถือว่าเป็นทางออกหนึ่งในการ แก้ไขความขัดแย้ง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปสำรวจว่าตรงไหนที่เป็นจุดอ่อนหรือความตั้งใจเดิมเป็นอย่างไร แล้วทำไมจึงไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเดิม อาจจะต้องปรับปรุงแก้ไข

"พื้นฐานเศรษฐกิจประเทศโดยรวมแล้วยังไปได้ค่อนข้างดี ไม่ถึงกับต้องกังวลมากนัก แต่ความขัดแย้งไม่ดีกับการพัฒนาประเทศ เพราะเหตุการณ์อาจจะบานปลายออกไปในทางที่ไม่มีสันติ หากมีทางออกที่ดีและสร้างสรรค์ก็จะดี และในเวลานี้กลไกของนิติบัญญัติยังไม่ทำงานเต็มที่ก็เลยออกมาแก้ปัญหากลางถนน ขณะนี้ประเทศไทยยังมีหน่วยงานต่างๆ เป็นหน่วยงานในการแก้ปัญหาแต่ยังทำงานไม่เต็มที่ หวังว่าเหตุการณ์จะไม่รุนแรง" นายประสารกล่าว และขอย้ำว่า ต้องหาทางออกโดยใช้สันติวิธีเพื่อแก้ไขความขัดแย้ง และในฐานะนายแบงก์ หากมีความขัดแย้งถ้ามีกลไกทางออกในการแก้ปัญหาถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อประเทศ

"บัณฑูร" ชี้ยังไม่กระทบเศรษฐกิจ

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความขัดแย้งในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ว่า ยังไม่ได้มีผลต่อเศรษฐกิจ ซึ่งการชุมนุมดังกล่าวก็เป็นเรื่องปกติของประชาธิปไตย ซึ่งหากไม่มีอะไรรุนแรงก็ถือว่าเป็นการแสดงออกของประชาชนแต่ก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์ยืดเยื้อ ในทุกสัปดาห์

"การชุมนุมที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีผลต่อเศรษฐกิจ เป็นการแย็บกันไปแย็บกันมา พอหอมปากหอมคอก็เลิก ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์ยืดเยื้อไปทุกสัปดาห์ มองว่าเป็นการแสดงออกตามครรลองประชาธิปไตยของประชาชน"นายบัณฑูรกล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us