|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ดีแทคตั้งเป้าภายในปี 2551 หรืออีก 3 ปีดีแทคจะมีส่วนแบ่งตลาดระบบโพสต์เพด 50% หรือเป็นที่หนึ่งในตลาดโพสต์เพด หลังเวิร์กโดนใจลูกค้า ต่อยอดด้วยเวิร์กมอร์ โทร. 1 ชั่วโมงจ่าย 3 นาทีตลอด 24 ชั่วโมง ด้านเอไอเอสเชื่อเป็น เกมการสร้างฐานลูกค้าที่เอไอเอสเลยมาไกลแล้ว แต่ให้ระวังลูกค้าสับสนกับ ZAD บุฟเฟต์ และการ ใช้งานช่วงเครือข่ายหนาแน่นอาจเกิดปัญหา
นายสันติ เมธาวิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่นหรือดีแทคกล่าวว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้าหรือในปี 2551 ดีแทคจะมีส่วนแบ่งตลาดในระบบโพสต์เพด 50% หรือมีลูกค้าประมาณ 3 ล้านรายจากตลาดรวมระบบโพสต์เพดทั้งหมด 6 ล้านราย โดยตัวเลขดังกล่าวดีแทคประมาณจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่สรุปว่าประชากรที่มีงานทำในประเทศไทยมีจำนวน 36.55 ล้านคนซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้มีรายได้ประจำ อาทิ ข้าราชการ ผู้บริหาร ผู้ประกอบวิชาชีพในสายงานต่างๆ ประมาณ 5.43 ล้านคน และกลุ่มนักศึกษาที่กำลังจะจบปริญญาตรีและจะเปลี่ยนสถานะเป็นคนทำงานหรือ First Jobber ประมาณ 0.57 ล้านคน ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ถือว่ามีศักยภาพและมีแนวโน้มที่จะใช้บริการมือถือในระบบโพสต์เพด
ตัวเลข 6 ล้าน ยังไม่รวมกลุ่มอื่นๆอย่างแม่บ้าน หรือพ่อซื้อให้ลูกโดยรวมบิลเดียวกัน ซึ่งดีแทค มองว่าตลาดยังมีศักยภาพ ทั้งนี้ ตลาดรวม 6 ล้านเลขหมายดังกล่าว ดีแทคไม่ได้รวมเรื่องการให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3G ในอนาคตเพราะดีแทคเชื่อว่า 3G เป็นบริการต่อยอด สำหรับลูกค้าที่ต้องการบริการเสริมด้านมัลติมีเดีย ไม่ได้ก่อให้เกิดลูกค้าใหม่ รวมทั้งผลกระทบกับลูกค้า ในระบบโพสต์เพดมีน้อย และอาจไม่มีเลยสำหรับลูกค้าระบบพรีเพด
ปัจจุบันดีแทคมีส่วนแบ่งตลาดระบบโพสต์เพด ประมาณ 35% หรือมีฐานลูกค้าประมาณ 1.5 ล้านราย โดยที่ดีแทคเชื่อว่าการกระตุ้นตลาดของ ดีแทคและคู่แข่งจะทำให้ตลาดโพสต์เพดเติบโตได้ อย่างแพกเกจเวิร์กที่ดีแทคเปิดตัวเมื่อ 15 พ.ย. 2548 จนถึงตอนนี้มีลูกค้าใช้บริการแล้ว 2.6 แสนราย โดย 1 แสนรายเป็นลูกค้าใหม่ และถ้าหากดูถึงยอดลูกค้า เพิ่มสุทธิในระบบโพสต์เพด เดือน ธ.ค.ที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียวดีแทคมียอดเพิ่ม 51,650 ราย และเพื่อรักษาการเติบโตยอดลูกค้าโพสต์เพดอย่างต่อเนื่องดีแทคออกแพกเกจใหม่ชื่อเวิร์กมอร์ (WORK MORE) เพื่อต่อยอดเวิร์กเดิม โดยเปลี่ยนแปลงค่าใช้บริการขั้นต่ำจากเดือนละ 399 บาทเป็น 599 บาท และขยายช่วงเวลาจากเดิมที่ใช้ได้ในช่วง 7 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม ให้กลายเป็น 24 ชั่วโมง ด้วยอัตราค่าบริการเดิมคือโทร. 1 ชั่วโมงจ่าย 3 นาทีๆละ 2.50 บาท คิดขั้นต่ำ 60 วินาทีแรก หากโทร.ไม่ถึง 3 นาทีคิดค่าใช้จ่ายเป็นวินาที สำหรับลูกค้าที่จดทะเบียนภายใน 31 มี.ค.ได้รับสิทธิ 12 รอบบิล โดยที่ถ้าเลือกเวิร์กมอร์ จะได้สิทธิเงื่อนไขเวิร์กมอร์ 6 รอบบิลที่เหลือได้ตาม สิทธิเวิร์ก
"ดีแทคตั้งเป้าลูกค้าในกลุ่มเวิร์กไว้ทั้งหมดประมาณ 5 แสนราย ซึ่งเราเชื่อว่าการใช้งานของลูกค้า 5 แสนรายจะไม่มีผลกระทบกับคุณภาพเครือข่ายดีแทค"
สำหรับรายได้ต่อเลขหมายนั้น ดีแทคเชื่อว่าอาจลดลงจากปัจจุบันที่ดีแทคมีรายได้ต่อเลขหมายในระบบโพสต์เพดประมาณ 1 พันบาทลงเล็กน้อย เนื่องจากมีการขยายฐานลูกค้าออกไปเป็นแมสมากขึ้น ส่วนรายได้ต่อเลขหมายระบบพรีเพดซึ่งปัจจุบัน สูงกว่าคู่แข่งแล้วนั้น สามารถกระตุ้นให้สูงขึ้นด้วย1. นวัตกรรมด้านราคา หลีกเลี่ยงการทำโปรโมชันช่วงการใช้งานหนาแน่น (Peak Time) เพื่อใช้ประโยชน์จากเครือข่ายให้เต็มที่ 2.ดึงลูกค้าที่มีการใช้งานมากหรือไฮเอนด์ จากคู่แข่งและ 3.กระตุ้นให้เกิดการใช้งานบริการเสริมให้มากขึ้นอย่าง SMS
"ในปีนี้ เมื่อรวมลูกค้าโพสต์เพดกับพรีเพดเข้าด้วยกัน รายได้ต่อเลขหมายเฉลี่ยจะสูงขึ้น" นายซิคเว่ เบรกเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทคกล่าว
นายซิคเว่ยังย้ำว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมาดีแทค ขยายความสามารถรองรับของเครือข่ายพิ่มขึ้นอีก ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้ากลุ่มเวิร์กที่คาดว่าจะมีมากถึง 5 แสนรายจะสามารถใช้งานได้อย่างดีและไม่มีผลกระทบกับเครือข่าย ส่วนการเล่นเรื่องราคาในช่วงนี้ อยากเรียกว่าเป็นการแข่งขันด้านราคาไม่ใช่สงคราม ราคาที่โอเปอเรเตอร์ต้องมารับภาระค่าใช้จ่ายที่ตัดราคาให้ลูกค้า และการออกแพกเกจเวิร์กมอร์ ก็ไม่ใช่การฉกฉวยโอกาสกรณีการเคลื่อนไหวด้านการเมือง หรือการขายหุ้นให้เทมาเส็ก ซึ่งดีแทคเชื่อว่า เอไอเอสมีทั้งเงินและประสบการณ์ในการทำตลาดมือถือ ไม่น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก ส่วนกรณีทรูมูฟก็เน้นด้านคอนเวอร์เจนต์ ในขณะที่ดีแทคมุ่งมั่นแต่เรื่องการสื่อสารไร้สายหรือโทรศัพท์มือถือเพียงอย่างเดียว
สำหรับความคืบหน้าการนำดีแทคที่ปัจจุบันจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายซิคเว่กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแต่คาดว่าจะนำดีแทคเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ไทยได้ภายในสิ้นปี 2549 ซึ่งขณะนี้อยู่หว่างการหารือรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเนื่องจาก บริษัท ยูไนเต็ด คอมมูนิเกชั่น อินดัสตรีหรือ UCOM เป็นบริษัทจดทะเบียนและมีฐานะเป็นบริษัทแม่ของดีแทค
เอไอเอสชี้ระวังลูกค้างง
ด้านนายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการสายงานการตลาด เอไอเอสกล่าวว่า การขึ้นราคาเวิร์กมอร์เป็น 599 บาทถือเป็นราคาที่สูงพอสมควร อย่างไรก็ตามน่าเป็นห่วงลูกค้าอาจเกิดความสับสนกับ ZAD บุฟเฟต์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ในขณะที่การขยายช่วงเวลาเป็น 24 ชั่วโมง อาจทำ ให้เกิดปัญหากับเน็ตเวิร์กในช่วงการใช้งานหนาแน่น เพราะลูกค้าอาจใช้โทร.เป็นเวลานานเพื่อให้เกิดความ คุ้มค่า เนื่องจากหากใช้ไม่เกิน 3 นาทีก็ถือว่าเป็นอัตราที่สูงพอสมควร
เขาเปรียบเทียบว่าการทำตลาดไม่ใช่การเล่นกีฬาอย่างเทนนิสเมื่อฝ่ายหนึ่งเสิร์ฟลูกมาจะต้องตีโต้กลับด้วยความรุนแรง เหมือนกรณีที่ดีแทคประกาศสู้ราคาออเร้นจ์ที่เปลี่ยนชื่อเป็นทรูมูฟ ทุกรูปแบบ ซึ่งทรูมูฟกำลังมีโปรโมชันราคาออกมาอีกสำหรับกลุ่มลูกค้าที่โทร.สั้นนาทีแรก 25 สตางค์นาที ต่อไป 1.50 บาท หรือพวกโทร.ยาวนาทีแรก 1.50 บาทนาทีต่อไป 25 สตางค์ หรือมีในช่วงพีก หรือออฟพีก อีก ซึ่งหมายความว่าดีแทคจะต้องลงไปสู้ราคาด้วย
"ดีแทคอยู่ในช่วงการสร้างส่วนแบ่งตลาด จำเป็นต้องออกแพกเกจราคาเพื่อให้ได้ลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งเอไอเอสผ่านช่วงนั้นมาแล้ว เอไอเอส เชื่อว่าธุรกิจการให้บริการอย่างโทรศัพท์มือถือ ต้องมองในมุมผู้บริโภคว่าแต่ละกลุ่มต้องการบริการรูปแบบไหนมากกว่าการเล่นราคาตอบโต้กันไปมาอย่างเดียว"
|
|
|
|
|