"โฆสิต-อนันต์"ประสานเสียง คลื่นชุมนุม "4 กุมภา วันกู้ชาติ"ชุมนุมอย่างสงบ ยันยังไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทย แนะผู้นำประเทศสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง รองรับยุคโลกาภิวัตน์ จี้รัฐบาลต้องมีความชัดเจน "อำนาจเหนือตลาด" ก่อนเปิด การค้าเสรี บอสใหญ่แลนด์ฯ ลั่นขึ้นแท่นรวยหุ้นมากที่สุดในประเทศ หลังตระกูลชินวัตรขายหุ้นชินคอร์ปให้ต่างชาติ พร้อมยอมรับธุรกิจไทยด้อยความชำนาญไฮเทคโนโลยี จี้ต้องเร่ง ปรับปรุงสินค้า พัฒนาคุณภาพ ควบคู่ศึกษาตลาด พร้อมปฏิเสธซื้อกิจการของกลุ่มยนตรกิจร่วมทุนในบริษัทเอสซีฯของตระกูลชินวัตร
วานนี้ (6 ก.พ.49) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้จัดสัมมนางาน 40 ปี นิด้าพัฒนาผู้นำ เรื่อง "วิสัยทัศน์ประเทศไทย" โดยมีนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และนายประยงค์ รณรงค์ ปราชญ์ชาวบ้าน เจ้าของรางวัลแมกไซไซ เป็นวิทยากรสัมมนา
นายโฆสิต เปิดเผยถึงกรณีที่มีการชุมนุม "4 กุมภา วันกู้ชาติ"เพื่อขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าเท่าที่ดูจนถึง ณ วันนี้ ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรที่น่าเป็นห่วง เพราะกลุ่มผู้เรียกร้องได้ชุมนุมกันอย่างสงบ แม้ว่าจะมีรัฐมนตรีบางคนได้ลาออกจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม แต่ยังเชื่อว่าในอนาคตหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ไม่น่าจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทย เพราะทุกอย่างดำเนินการอย่างสงบ และทุกคนมีสิทธิในการกระทำดังกล่าวได้ เพราะฉะนั้น การที่ชุมนุมกันอย่างสงบผลกระทบต่อเศรษฐกิจจึงมีค่อนข้างเบา และในอดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยก็เคยมีการชุมนุมประท้วงมาแล้ว ซึ่งการชุมนุมกันอย่างสงบถือว่าดีที่สุด แต่หากในอนาคตจะสงบหรือไม่นั้นค่อยมาว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
สำหรับผลกระทบต่อนักลงทุนนั้น โดยส่วนตัวเชื่อว่า นักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นในเรื่องเดียวคือ ผลกำไรจากการลงทุน นักลงทุนจะมองจุดนี้จุดเดียวว่า เมื่อลงทุนไปแล้วจะได้กำไรกลับคืนมาหรือไม่ เรื่องอื่นๆ เป็นแค่ปัจจัยประกอบการตัดสินใจการลงทุนมากกว่า ขณะที่เรื่องเงินทุนไหลเข้า และไหลออกนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เม็ดเงินไม่มีวันจะหยุดนิ่ง ต้องถือว่าเม็ดเงินมีนิสัยที่ขยันไม่ยอมหยุดนิ่ง ที่ไหนให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็จะวิ่งไปหาแหล่งนั้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติโดยทั่วไปอยู่แล้ว
ขณะที่ นายอนันต์ อัศวโภคิน กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เหตุการณ์ในปัจจุบัน ยังถือว่าไม่น่าเป็นห่วง จนกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยผูกติดกับการส่งออกเป็นหลักและการลงทุนในประเทศ ซึ่งขณะนี้ ยังไม่มีผลกระทบให้เห็นชัดเจน แต่อาจจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้ไม่กล้าตัดสินใจจับจ่ายใช้สอย
"อย่างไรก็ตาม หากเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นถึงขั้นเปลี่ยนแปลงผู้นำ ก็อาจจะทำให้เกิดการชะงักงัน นักลงทุนรวมถึงประชาชนขาดความเชื่อมั่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงผู้นำบ่อยๆ จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาได้ลำบาก เหมือนประเทศญี่ปุ่นที่เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงผู้นำบ่อยจนทำให้ประเทศไม่มีการเติบโต พัฒนาได้ช้า แต่พอผู้นำคนปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งนาน ก็ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการเติบโตมากขึ้น" นายอนันต์ กล่าว
ส่วนกรณีการขายหุ้นของตระกูลชินวัตรในชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็กจากสิงคโปร์ เป็นเรื่องที่ทำได้หากมองในแง่ของธุรกิจ แต่เนื่องจาก พ.ท.ต.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลสาธารณะจึงทำให้เกิดคำครหา แต่ที่แน่ๆ เมื่อกลุ่มชินวัตรขายหุ้นออกไปแล้ว ทำให้ตนเป็นผู้ที่มีหุ้นมากที่สุดในประเทศไทย และหากตนขายหุ้นออกไปก็เชื่อว่าจะไม่มีใครว่าอะไร
ก่อนหน้านี้ วารสารการเงินธนาคารฉบับเดือนธันวาคม 2548 ได้มีการจัดอันดับนักลงทุนที่ถือครองหุ้นในบริษัทจดทะเบียนมากที่สุด โดย อันดับ 1 คือ ลูกสาวนายกรัฐมนตรี นางสาวพิณทองทา ชินวัตร ถือครองหุ้นรวมมูลค่าทั้งสิ้น 19,188.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 จำนวน 1,085.93 ล้านบาท หรือรวยเพิ่มขึ้น 6.02% โดยถือหุ้นในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ (SHIN) เป็นอันดับ 1 สัดส่วน 14.67% มูลค่า 18,040 ล้านบาท และหุ้นของ บมจ.เอสซี แอสเซท คอร์ปอ-เรชั่นฯ (SC) สัดส่วน 28.97% มูลค่า 1,078.69 ล้านบาท
ขณะที่อันดับ 2 ยังคงเป็นของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายภริยานายกรัฐมนตรีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ซึ่งถือหุ้น SHIN สูงเป็นอันดับ 2 ในสัดส่วน 13.49% มูลค่า 16,581.64 ล้านบาท โดยรวยเพิ่มขึ้น 1,314.40 ล้านบาท หรือ 8.61%
ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ อดีตแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยปี 2545 และ 2546 ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 14,903.53 ล้านบาท รวยขึ้นถึง 2,588.69 หรือ 21.02% แนะธุรกิจไทยปรับตัวรับโลกาภิวัตน์
นายโฆสิตยังได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในมุมมองส่วนตัวว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ทำให้มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุด เพราะในด้านของการตลาดถือว่ามีประโยชน์มากที่สุด แต่ผลร้ายก็มีมากเช่นกัน ในขณะที่ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันจะเป็นตัวที่ทำให้เราตื่นตัวและสามารถเห็นจุดบกพร่องได้ เพราะฉะนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือต้องรู้ผลประโยชน์ของชาติว่าอยู่ตรงไหน และจะรักษาเอาไว้ได้อย่างไร นอกจากนี้แล้ว ประเทศไทยควรหา ความเข้าใจให้ได้ว่าจะมีบทบาทในการร่วมมือกับภูมิภาคได้อย่างไรในโลกนี้
สถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยยังไปได้ต่อไม่น่าเป็นห่วง แต่ในแง่ของโลกาภิวัตน์ให้ผลเยอะ แต่เป็นผลประโยชน์ชั่วคราว ในส่วนของการส่งออก เราต้องมองอะไรในระยะยาว โดยให้เริ่มจากตัวเราก่อน อย่างกรณีของการเปิดเขตการค้าเสรี หรือเอฟทีเอก็เช่นกัน ให้มองถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักว่าอยู่ตรงไหน ต้องมีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน การที่เปิดการค้าเสรีต้องมีคำว่าเป็นธรรมด้วย โดยต้องไม่มีคำว่าอำนาจเหนือตลาด ต้องไม่มีการผูกขาด ทุกอย่างต้องมีกฎกติกา เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องให้คำจำกัดความของ คำว่าอำนาจเหนือตลาดให้ได้ และเอกชนไทยควรหารือร่วมกันก่อนเพื่อนำเสนอให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขกฎหมายบางอย่าง
นายโฆสิตกล่าวว่า โดยรวมแล้วในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าเอกชน หรือรัฐบาลไม่ควรที่จะหลงระเริง หรือประมาท ควรหันมาดูแลตัวเองให้มีความเข้มแข็ง และพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด ทั้งเรื่องการเงินการคลัง โดยต้องปฏิบัติให้มีวินัยที่สุด และถือว่าการมีวินัยเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ ชี้ไทยแข่งต่างชาติได้ยกเว้นเรื่องไฮเทคโนโลยี
นอกจากนี้ นายอนันต์กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันได้ผ่านภาวะวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้ว ทำให้ทุกคนได้รับบทเรียนในหลายเรื่อง โดยเฉพาะประสิทธิภาพในการบริหารงาน ซึ่งหากธุรกิจไทยต้องแข่งขันกับต่างชาติ ควรต้องคำนึงถึงเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ ต้องมีการทำวิจัยตลาด เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจไทยมีข้อมูล แต่ไม่มีการทำวิจัย ตัดสินใจช้า ทำให้แข่งขันต่างชาติไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจไทยหันมาปรับตัว และพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถปรับตัวสู้กับต่างประเทศได้
ทั้งนี้ หากการทำธุรกิจที่ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีชั้นสูง หรือต้องอาศัยเทคนิคพิเศษ เชื่อว่าไทยสามารถแข่งได้ทุกตลาด หากมีการเปิด การค้าเสรี แต่หากมีการปกป้องธุรกิจของไทย มากเกินไป ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันหรือพัฒนา เช่น ในกรณีของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน ทำในทุกวันนี้ ก็อาจทำให้ธุรกิจไทยไม่มีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน
"เรามีทุกอย่าง แพ้อย่างเดียวคือเรื่องไฮเทค เราต้องมาดูตัวเองว่า ต้องพัฒนาตัวเอง มีระบบการบริหารจัดการในบริษัท ไทยยังสามารถ ปรับตัวได้อีกเยอะ"นายอนันต์กล่าว แลนด์ฯโหมลงทุนต่างจังหวัด
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัท นายอนันต์กล่าวว่า มีแผนที่จะลงทุนในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่เน้นในกรุงเทพฯและปริมณฑล และในหัวเมืองใหญ่ๆ อาทิ เชียงใหม่, ภูเก็ต และขอนแก่น ซึ่งในปีนี้ มีแผนที่จะทำตลาดย่านตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี, ศรีราชา และระยอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาตลาด ซึ่งพบว่า ตลาดในย่านดังกล่าวมีสินค้า 2 ประเภท คือระดับบนเพื่อขายให้แก่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ และตลาดกลางล่าง 1-2 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนที่จะพัฒนาสินค้าในระดับกลางภายในปีนี้ เนื่องจากยังไม่มีผู้ประกอบการพัฒนาสินค้าระดับนี้ออกมา
ส่วนของผลการดำเนินงานในปี 2548 คาดว่าจะมียอดขายสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 10-15% เพิ่มมาเป็น 20% ส่วนประเด็นที่มีข่าวว่าจะเข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมดในกลุ่มยนตรกิจ ผู้นำเข้ารถหรูจากยุโรปและเกาหลี 6 ยี่ห้อ รวมถึงกระแสข่าวการร่วมทุนกับกลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) SC ของตระกูลชินวัตรนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากไม่มีการเจรจากับทางผู้บริหารทั้ง 2 กลุ่มแต่อย่างใด และเชื่อว่าทางยนตรกิจคงไม่คิดที่จะขายธุรกิจของตนเอง
|